ตาพร่ามัว ต้อกระจกอาจถามหา

2 นาทีในการอ่าน
ตาพร่ามัว ต้อกระจกอาจถามหา

แชร์

หากพูดถึงโรคต้อกระจก หลายคนมักคุ้นเคยและเข้าใจว่าเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่อายุตั้งแต่ 40 เป็นต้นไป และอาจเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยได้จากการใช้สเตียรอยด์และปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อดวงตา ซึ่งอาการที่เป็นสัญญาณเตือนคือ ตาพร่ามัวและจะพร่ามัวลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นการรู้เท่าทันเพื่อรับมือโรคต้อกระจกคือสิ่งที่ควรใส่ใจก่อนสูญเสียดวงตาที่คุณรัก

 

รู้จักต้อกระจก

โรคต้อกระจก (Cataract) คือ ภาวะที่เลนส์ตาเกิดความขุ่นมัว ส่งผลให้แสงเข้าไปในดวงตาน้อยลง จอประสาทตารับภาพได้ไม่ชัดเจน การมองเห็นลดลงเรื่อย ๆ แม้โรคนี้จะไม่แพร่กระจายจากอีกข้างไปสู่อีกข้าง แต่หากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดความรุนแรงอาจทำให้มองไม่เห็นได้ในที่สุด

 

ตัวการต้อกระจก

ต้อกระจกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

  1. การเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามวัยเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด โดยจะพบตั้งแต่อายุ 40 – 50 ปีขึ้นไป
  2. ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลสูงและควบคุมได้ไม่ดีพอจะกระตุ้นเลนส์ให้ขุ่นขึ้นได้เร็วกว่าคนที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกันแต่ไม่เป็นโรคเบาหวาน
  3. การใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์อาจกระตุ้นต้อกระจกบางชนิดได้
  4. อุบัติเหตุที่มีการกระทบกระแทกบริเวณดวงตา
  5. การสูบบุหรี่
  6. การเผชิญกับแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานานโดยขาดการป้องกัน
  7. ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดจากการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์

 

อาการต้อกระจก

  • ตาจะค่อย ๆ มัวลงอย่างช้า ๆ
  • ตามัวเหมือนมีหมอกหรือฝ้าบัง
  • เห็นภาพซ้อน 
  • เห็นแสงไฟกระจาย
  • มองภาพเป็นสีเหลือง
  • เปลี่ยนแว่นตาบ่อย

 

ตาพร่ามัว, ต้อกระจก


รักษาต้อกระจก

ปัจจุบันการรักษาต้อกระจกทำได้ด้วยการผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นความถี่สูง (Phacoemulsification) โดยการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์เข้าไปสลายเพื่อนำเลนส์ตาที่ขุ่นหรือที่เรียกกันว่าลอกต้อออกมา จากนั้นจึงใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลาผ่าตัดเพียงไม่นาน ประมาณ 15 – 30 นาที แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 3 – 5 มิลลิเมตร ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจึงกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการใส่เลนส์เทียม เนื่องจากปล่อยทิ้งไว้จนรุนแรงเกิดภาวะม่านตาอักเสบ ต้อหินแทรกซ้อน หรือเบาหวานขึ้นตารุนแรง หลังจากลอกต้อกระจกอาจต้องใช้เลนส์สัมผัสหรือใส่แว่นตา โดยแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้พิจารณาการผ่าตัดรักษาตามอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

 

ดูแลหลังผ่าตัดต้อกระจก

การดูแลหลังจากผ่าตัดต้อกระจกนั้น สิ่งสำคัญคือการระวังไม่ให้ติดเชื้อและปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งจักษุแพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยเพื่อติดตามผลเป็นระยะ ได้แก่

  • สวมที่ครอบตาจนกว่าแพทย์จะให้เอาออก
  • ใช้ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง
  • ระวังการโดนลม ฝุ่น และแสงจ้า
  • อย่าให้ดวงตาโดนน้ำ
  • ห้ามขยี้ตา
  • เลี่ยงกิจกรรมที่กระทบกระเทือนดวงตาตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น ปวดตา ตาแดง มองเห็นแสงวูบวาบ มองเห็นจุดสีดำ เห็นภาพไม่ชัดเจน ฯลฯ ควรกลับมาพบแพทย์ทันที 

 

ตาพร่ามัว, ต้อกระจก

ชะลอโรคต้อกระจก

โรคต้อกระจกไม่สามารถป้องกันได้เนื่องจากความเสื่อมตามวัย แต่สามารถดูแลดวงตาเพื่อยืดอายุความแข็งแรงและชะลอการเกิดโรคต้อกระจกได้ดังนี้

  • สวมแว่นกันแดด เลี่ยงแสงแดดจ้า
  • ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติ
  • งดการสูบบุหรี่
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยเฉพาะที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์
  • ตรวจสุขภาพดวงตาทุกปีเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป 

 

เพราะโรคต้อกระจกพบได้บ่อยในทุกครอบครัว พญ.เกศรินท์ เกียรติเสวี จักษุแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพแนะนำว่า “หากอายุครบ 40 ปีควรมาตรวจตาปีละ 1 ครั้ง และควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของดวงตา หากตามัวลงหรือสายตาเปลี่ยนจนผิดสังเกตควรต้องรีบมาทันที และสำหรับคนที่พบว่าตนเองเป็นต้อกระจกควรรีบเข้ารับการผ่าตัดรักษาโดยเร็วที่สุด อย่าปล่อยไว้จนรุนแรงเพราะอาจมีต้อหินแทรกซ้อนได้ ที่สำคัญอย่าลืมใส่ใจดูแลสุขภาพดวงตาและสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงทุกช่วงวัย”
   


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ชั้น 5 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ
เปิดให้บริการ
จันทร์-ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.
เสาร์ 08.00 - 17.00 น
อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.

แชร์