แพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ

3 นาทีในการอ่าน
แพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่

โรค (SLE) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ และส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบพร้อมกันหรือเป็นระยะ ผู้ป่วยอาจมีอาการหลากหลายที่เกิดขึ้นพร้อมกันหรือสลับกันในช่วงต่าง ของชีวิต หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก รักษาอย่างเหมาะสม และดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรคและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

 

โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) คืออะไร

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) คือ โรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยภูมิคุ้มกันของคน นั้นทำลายอวัยวะและเนื้อเยื่อของร่างกายตนเอง เช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ปอด หัวใจ สมอง ทำให้เกิดการอักเสบและอาการผิดปกติในหลายระบบพร้อมกัน พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์

ปัจจัยเสี่ยงโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) คืออะไร

แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) แต่ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคได้แก่

  • กรรมพันธุ์ อาจมีสารพันธุกรรมบางชนิดที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • ฮอร์โมน (โดยเฉพาะในเพศหญิง)
  • สิ่งกระตุ้นที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่น การติดเชื้อ แสงแดด ความเครียด การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ
  • ขาดวิตามินดี อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค SLE โดยมีหลักฐานว่าระดับวิตามินดีต่ำอาจเพิ่มความรุนแรงหรือทำให้โรคกำเริบได้ เนื่องจากวิตามินดีควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน หากระดับต่ำเรื้อรังอาจเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น

แพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ

โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) อาการเป็นอย่างไร

อาการของโรคนี้จะแสดงความผิดปกติในร่างกายในหนึ่งอวัยวะหรือหลายอวัยวะ ที่พบได้บ่อยคือ

  • ผื่นแพ้แสง ผื่นรูปผีเสื้อบริเวณใบหน้า โดยจะพบผื่นแดงบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างและสันจมูก ลักษณะคล้ายปีกผีเสื้อ (Malar Rash) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ SLE ผู้ป่วยจะมีผิวไวต่อแสงแดดมากผิดปกติ เพียงสัมผัสแสงแดดเล็กน้อยก็อาจกระตุ้นให้ผื่นลุกลามได้
  • ปวดข้อหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะข้อเล็ก เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ อาจมีอาการปวด บวม ข้อฝืดตอนเช้า หรือเคลื่อนไหวลำบาก มักมีอาการพร้อมกันหลายข้อ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง แม้ได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่แล้ว ผู้ป่วยยังคงรู้สึกอ่อนล้า ไม่มีแรง บางรายอาจมีไข้ต่ำเรื้อรังหลายวันโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผมร่วงผิดปกติ ผมร่วงเป็นหย่อม พบผมหลุดร่วงมากผิดปกติ โดยมักร่วงจากรากผมโดยตรง หรือร่วงระหว่างการหวีเบา ในบางรายอาจพบร่วมกับผื่นแดงบริเวณหนังศีรษะ
  • ปัสสาวะผิดปกติหรือมีอาการบวมน้ำจากไตอักเสบ ผู้ป่วยอาจสังเกตว่าปัสสาวะมีลักษณะเป็นฟองมากผิดปกติ หรือมีอาการบวมที่ใบหน้า (โดยเฉพาะตอนตื่นนอน) ขา หรือรอบดวงตา โดยการตรวจปัสสาวะอาจพบโปรตีนรั่ว ซึ่งเป็นสัญญาณของไตอักเสบจาก SLE

ตรวจวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) อย่างไร

การตรวจวินิจฉัยโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำการรักษาเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่แพทย์จะตรวจวินิจฉัยจากประวัติของผู้ป่วย การตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์หัวใจและปอด เป็นต้น

แพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ

แนวทางการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)

โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยแพทย์จะเริ่มจากการประเมินความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยเป็นว่ามากน้อยเพียงไหน เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความรุนแรงที่ไม่เท่ากัน หลังจากนั้นจึงทำการวางแผนการรักษา ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากเกิดการอักเสบของร่างกายในหลายระบบ แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยากดภูมิ ยาชีวภาพ ร่วมกับการควบคุมโรคร่วม เช่น ไต ความดัน ไขมัน ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะได้ยาแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)

  • ไตอักเสบเรื้อรัง (Lupus Nephritis)
  • ภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดจากภูมิต้านทานตนเอง (Anti – Phospholipid Syndrome)
  • โรคหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
  • ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
  • โรคทางระบบประสาท เช่น ชัก ความจำผิดปกติ
  • ภาวะกระดูกพรุนจากการใช้สเตียรอยด์
  • ภาวะขาดวิตามินดีเรื้อรัง

ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ต้องดูแลตนเองอย่างไร

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียดอย่างถูกวิธี
  • เลี่ยงการออกแดด ทาครีมกันแดดทุกวัน
  • เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดหรือเพิ่มยาเอง
  • พบแพทย์ทุกครั้งตามนัดหมาย เพื่อให้รักษาได้ถูกวิธี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หากต้องการมีบุตรควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนก่อนมีบุตร

แพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ

ป้องกันและลดความเสี่ยงโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) อย่างไร

โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง แต่สามารถลดโอกาสกำเริบได้ด้วยการ

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและใช้ครีมกันแดดทุกครั้ง
  • ฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • เลี่ยงการใช้ยาที่อาจกระตุ้นโรคตามคำแนะนำของแพทย์
  • รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และเสริมวิตามินดี

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ที่ไหนดี

คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การตรวจประเมิน วินิจฉัย ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ตลอดจนให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่ถูกต้อง ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

แพทย์ที่ชำนาญการรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)

พญ.ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง

ข้อมูลโดย

Doctor Image

พญ. ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม

พญ. ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม
Doctor profileDoctor profile

สอบถามเพิ่มเติมที่

คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม

ชั้น 5 อาคาร C

เปิดบริการทุกวัน 08.00 - 16.00 น.