ความดันลูกตาสูง อาจเสี่ยงต้อหินก่อนสูงวัย

2 นาทีในการอ่าน
ความดันลูกตาสูง อาจเสี่ยงต้อหินก่อนสูงวัย

แชร์

เพราะต้อหิน (Glaucoma) ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่มีอาการบอกล่วงหน้า ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน แต่หากปล่อยไว้อาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอด ดังนั้นการให้ความสำคัญกับปัจจัยเสี่ยงคือสิ่งสำคัญ หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรละเลยคือความดันตาสูงผิดปกติที่อาจบ่งบอกว่าเป็นต้อหินได้เช่นกัน

 

5 อาการบอกความเสี่ยงต้อหินเฉียบพลัน

ผู้ป่วยต้อหินเฉียบพลัน ส่วนใหญ่มักเป็นข้างเดียว โดยอาจจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ซึ่งอาการที่บ่งบอกว่าความดันตาสูงและเสี่ยงเป็นต้อหิน ได้แก่

  1.  ปวดตา
  2. ตาแดง
  3. ตามัว
  4. น้ำตาไหล
  5. เห็นรุ้งรอบดวงไฟ

 

ปัจจัยเสี่ยงต้อหินควรรู้

ต้อหินคือโรคความเสื่อมขั้วประสาทตาที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น แบ่งออกเป็นต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) ชนิดมุมปิด (Primary Angle – Closure Glaucoma) ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) และต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • อายุ 40 ปีขึ้นไป อายุมากมีความเสี่ยงมากกว่าคนอายุน้อย
  • ความดันตาสูงมากกว่า 21 มม.ปรอท
  • ประวัติในครอบครัวเป็นต้อหิน โดยเฉพาะพี่น้อง
  • สายตาสั้นมากหรือสายตายาวมาก ผู้ที่สายตาสั้น 100 – 300 เพิ่มความเสี่ยงต้อหินมากกว่าคนปกติ 2 – 3 เท่า
  • ใช้ยาสเตียรอยด์หรือยารักษาข้อเสื่อมบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • โรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง

 

ความดันตาสูงเสี่ยงต้อหิน

ความดันตามีความแตกต่างระหว่างบุคคล เวลาที่วัด เครื่องมือที่วัด ความดันตาสูงเป็นภาวะที่ความดันลูกตามีค่ามากกว่า 21 มม.ปรอท ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคต้อหิน หากปล่อยไว้จะส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย การมองเห็นมัวลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตาบอดได้ 

การที่ความดันตาสูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคต้อหินทุกคน จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองโดยจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญ นอกจากนี้การทำกิจกรรมบางประเภทมีส่วนที่ทำให้ความดันตาสูงขึ้น ได้แก่ ดำน้ำ ยกน้ำหนัก เป่าเครื่องดนตรี เป็นต้น จึงต้องระมัดระวังและสังเกตตนเองหากมีความผิดปกติเกิดขึ้น

 

ความดันลูกตาสูง อาจเสี่ยงต้อหินก่อนสูงวัย

ลดความดันตารักษาต้อหิน

การลดความดันตาเพื่อรักษาต้อหินต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้นเพื่อจะได้รับการรักษาที่เหมาะสม โดยจะพิจารณาจากชนิด อาการ และความรุนแรงของผู้ป่วย ได้แก่ 

  • การใช้ยาหยอดตา 
  • การใช้ยารับประทาน
  • การใช้ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
  • การใช้เลเซอร์
  • การผ่าตัด

 

ผู้ที่เป็นต้อหินควรพบจักษุแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ แม้ต้อหินจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากประสาทตาถูกทำลาย แต่การรักษาอย่างถูกวิธีกับจักษุแพทย์ที่มีความชำนาญจะช่วยป้องกันไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายและเสื่อมมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาควรพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด

 


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ชั้น 5 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ
เปิดให้บริการ
จันทร์-ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.
เสาร์ 08.00 - 17.00 น
อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.

แชร์