ตรวจเช็กต้อหินก่อนรู้ตัวเมื่อสาย
3 นาทีในการอ่าน

แชร์
ต้อหิน คือ หนึ่งในปัญหาดวงตาที่อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ และสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือต้อหินนั้นไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และหากเป็นแล้วแม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม เพราะฉะนั้นเนื่องในสัปดาห์ต้อหินโลกที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี อยากให้ทุกคนใส่ใจรู้เท่าทันโรคต้อหิน ที่สำคัญควรหมั่นตรวจเช็กต้อหินกับจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้รับมือได้ทันท่วงที
พญ.เกศรินท์ เกียรติเสวี จักษุแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางโรคต้อหิน โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า “โรคต้อหินพบได้ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วง 60 – 70 ปี จากข้อมูลของชมรมต้อหินแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2560 มีผู้ป่วยต้อหินทั่วโลกมากกว่า 65 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มถึง 76 ล้านคน ในปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563 ที่น่าสนใจคือ แนวโน้มผู้ป่วยโรคต้อหินแบบเฉียบพลันมีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ”
รู้ทันต้อหิน
ต้อหินเป็นโรคความเสื่อมขั้วประสาทตาที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น ซึ่งผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้ เพราะไม่มีอาการบอกล่วงหน้า
ชนิดของต้อหินแบ่งออกเป็น
- ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ได้แก่
– ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) แบ่งเป็น ความดันตาปกติและความดันสูง
– ชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) แบ่งเป็น ต้อหินชนิดเฉียบพลันและต้อหินชนิดเรื้อรัง
- ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma)
เป็นผลมาจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา
- ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma)
พบในเด็กแรกคลอด – 3 ปี มาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่น ๆ
ปัจจัยเสี่ยงต้อหิน
- การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- อุบัติเหตุทางตา เช่น การกระทบกระแทกที่ดวงตา
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
อาการบอกโรค
- ปวดตา
- น้ำตาไหล
- ตามัวลง
- เห็นรุ้งรอบดวงไฟ
หากเป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งพบในผู้หญิงเอเชียค่อนข้างมาก
รักษาต้อหิน
แม้ต้อหินจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงได้ ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยมี 3 วิธีการหลัก ๆ ได้แก่
- ใช้ยา
ได้แก่ ยาหยอดตา ยารับประทาน และยาฉีด ซึ่งจักษุแพทย์จะรักษาทีละขั้นตอนแล้วดูผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด
- เลเซอร์
ขึ้นอยู่กับชนิดต้อหิน ใช้เวลารักษาเพียงไม่นาน ส่วนใหญ่มักมีการให้ยาควบคู่ไปด้วยกัน
- การผ่าตัด
วิธีนี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ การผ่าตัดรักษาต้อหินเป็นไปเพื่อลดความดันตาไม่ใช่การผ่าตัดต้อออกไปแล้วหายขาด เพราะต้อหินเมื่อเป็นแล้ว ทำได้ดีที่สุดคือควบคุมอาการไม่ให้แย่ไปกว่าเดิม
ความรุนแรงของโรค
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินไม่สามารถทำการรักษาแล้วหายขาดได้ แต่สามารถทำการรักษาเพื่อควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงไปกว่าเดิมได้ โดยจะต้องมาพบจักษุแพทย์ทุก ๆ 3 เดือน ที่สำคัญเมื่อพบว่าเป็นโรคนี้ต้องรีบมารักษาโดยเร็วไม่ปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอดในทันทีได้
ตรวจวินิจฉัยป้องกันต้อหิน
การตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินมีความสำคัญมาก เพราะโรคนี้ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า พญ.เกศรินท์กล่าวว่า “ปัจจุบันโรคต้อหินพบในคนที่อายุ 30 กว่า ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกว่าในอนาคตคนที่เป็นโรคนี้จะมีอายุน้อยลง ดังนั้นถ้าใครที่มีประวัติเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาโดยเร็ว แต่ถ้าหากเป็นคนทั่วไปแนะนำให้ตรวจช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งการตรวจต้อหินในปัจจุบัน สามารถทราบผลได้ทันที ด้วยการตรวจอย่างละเอียดเฉพาะโรคต้อหิน โดยเครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Computerized Static Perimetry) ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคต้อหินได้อย่างชัดเจน”
นอกจากนี้ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พญ.เกศรินท์แนะนำเพิ่มเติมว่า “ดวงตากับการใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นอีกเรื่องที่อยากฝากไว้ หากต้องใช้งานตอนกลางคืนควรเปิดไฟให้สว่าง เพื่อช่วยให้สบายตา และทุก ๆ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมง ควรพักสายตาประมาณ 20 วินาทีถึงครึ่งนาที และควรหยอดน้ำตาเทียมแบบไม่มีสารกันเสียเพื่อป้องกันตาแห้ง”
สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ
จันทร์-ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.
เสาร์ 08.00 - 17.00 น
อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.
แชร์