ลมชักในเด็ก ร้ายแรงกว่าที่คิด

2 นาทีในการอ่าน
ลมชักในเด็ก ร้ายแรงกว่าที่คิด

แชร์

โรคทางระบบประสาทในเด็กที่พบได้บ่อยที่สุดคือ โรคลมชัก ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กอุบัติการณ์การเกิดโรคลมชักทั่วโลกประมาณ 3.5 ล้านคนต่อปี โดยผู้ป่วยร้อยละ 40 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี เมื่อคิดตามสัดส่วนประชากรพบว่า อุบัติการณ์การเกิดโรคลมชักในเด็กอยู่ระหว่าง 3.5 – 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด

ลมชักในเจ้าตัวเล็ก

โรคลมชักเกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองผิดปกติ มีทั้งลมชักแบบที่ชักเกร็งทั้งตัวและลมชักแบบที่เหม่อลอย นับเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวเป็นอย่างมาก มีผลทั้งต่อพัฒนาการ การเลี้ยงดู การเข้าสังคม รวมทั้งการเรียน จึงมีความจำเป็นต้องวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และรับการรักษาอย่างทันท่วงที


ต้นเหตุลมชักในเด็ก

สาเหตุของโรคลมชักเกิดได้จากภาวะต่าง ๆ ได้แก่

  1. ความผิดปกติทางพันธุกรรม
  2. ความผิดปกติในโครงสร้างของสมอง การสร้างเนื้อสมองที่มีความผิดปกติ รวมถึงเส้นเลือด เช่น AVMs และเนื้องอกในสมอง
  3. ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนก่อนคลอด ระหว่างคลอด รวมทั้งหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจนระหว่างคลอด
  4. การติดเชื้อในสมอง
  5. โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease) 
  6. ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้ประมาณเกือบครึ่งนึงของผู้ป่วยทั้งหมด

อาการลมชักเจ้าตัวเล็ก

อาการลมชักที่เกิดขึ้นมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกระแสประสาทในสมองที่ผิดปกติเกิดที่ส่วนใดของสมอง ผู้ป่วยอาจจะมาด้วยอาการ

  • สับสน
  • เหม่อ
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • หมดสติ 
  • พฤติกรรมแปลก ๆ เช่น หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล กลัวโดยอธิบายไม่ได้ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ รวมทั้งการส่งตรวจเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม

ลมชักในเด็ก ร้ายแรงกว่าที่คิด

ตรวจวินิจฉัยโรคลมชัก

การตรวจวินิจฉัยโรคลมชักขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลัก โดยแพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดและใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อช่วยตรวจหาความผิดปกติ เช่น

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) มีห้องที่สามารถ Monitor คลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักพร้อมวิดีทัศน์ (24 – Hour Video EEG Monitoring)
  • การตรวจทางรังสี ได้แก่ 
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
    • การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
    • การตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักทางรังสีด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ PET CT, SPECT, Interictal SPECT, Ictal SPECT 
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด, การตรวจสารพันธุกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของโรคลมชัก ฯลฯ

ดูแลรักษาลมชัก

การรักษาหลักของโรคลมชักมี 2 แบบคือ

  1. การรักษาโดยใช้ยากันชัก
  2. การรักษาโดยวิธีอื่น เช่น กินอาหารคีโต โดยแพทย์เฉพาะทางด้านโภชนาการเป็นผู้จัดให้สำหรับผู้ป่วยเด็ก หรือการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการฝังเครื่องกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve Stimulation: VNS) เพื่อรักษาโรคลมชัก หรือการผ่าตัดสมอง รวมถึงการรักษาโรคร่วมที่พบอย่างอื่นด้วย เช่น การกระตุ้นพัฒนาการในเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า เป็นต้น

ลมชักในเด็กเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะอาจเกิดขึ้นโดยที่เด็กไม่รู้ตัว การสังเกตอาการเจ้าตัวเล็กและรีบทำการรักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมของกุมารแพทย์และทีมแพทย์ทุกสาขาที่มีความชำนาญ พร้อมด้วยเครื่องมือทันสมัย มีห้องสำหรับ Monitor คลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG Monitoring Unit) ดูแลตรวจรักษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ย่อมช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ต้องทรมานจากลมชักและลดความรุนแรงของโรคได้ในระยะยาว


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ
ชั้น 4 อาคาร B โรงพยาบาลกรุงเทพ
เปิดบริการทุกวัน เวลา 07.00 - 20.00 น.

แชร์