เบาหวานกับการตั้งครรภ์

3 นาทีในการอ่าน
เบาหวานกับการตั้งครรภ์

แชร์

ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องระวังระดับน้ำตาลในเลือดมากเป็นพิเศษ เพราะหากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทันโรคเบาหวานเมื่อตั้งครรภ์จะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกวิธี


ประเภทของเบาหวาน

เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยก่อนการตั้งครรภ์ (Pregestational / Overt  DM) คือ ภาวะเบาหวานที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ 

มีรายงานว่าผู้หญิงที่เป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ ได้แก่

  • ครรภ์เป็นพิษ ร้อยละ 27
  • การแท้ง ร้อยละ 24
  • ทารกตัวโตกว่าปกติ ร้อยละ 13
  • คลอดก่อนกำหนด ร้อยละ 6
  • ทารกเสียชีวิตขณะคลอดและหลังคลอด ร้อยละ 6

2) เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ (Gestational DM) เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ ซึ่งนับเป็นร้อยละ 90 ของเบาหวานที่พบในผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเป็นเบาหวานที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรืออาจเป็นเบาหวานซึ่งปรากฏออกมาครั้งแรกเนื่องจากการตั้งครรภ์  

กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคลอดเด็กน้ำหนักมาก
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคลอดเด็กเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

ความเสี่ยงจากเบาหวานเมื่อตั้งครรภ์

  • ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและอัตราการผ่าตัดคลอดอาจเพิ่มขึ้น
  • ภาวะทารกตัวโต (Macrosomia) หมายถึง ทารกที่มีน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในแม่ ซึ่งมักเกิดในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ทำให้น้ำตาลในทารกสูงด้วยไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินสุลินมากขึ้น

การตรวจวินิจฉัย

  1. การซักประวัติ
    • ประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว
    • ประวัติความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น  เช่น   คลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัม มีประวัติทารกตายคลอด หรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุในขณะตั้งครรภ์
  2. การตรวจร่างกาย
    • ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และคำนวณดัชนีมวลกาย
    • ตรวจครรภ์พบว่าครรภ์ใหญ่กว่าปกติ หรือพบครรภ์แฝดน้ำ (Hydramnios)
    • ตรวจพบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ จากเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์
  3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    • ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
    • ตรวจหาระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยวิธี OGTT

เบาหวานกับการตั้งครรภ์

ตรวจคัดกรองและประเมินความเสี่ยง

การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยในผู้หญิงตั้งครรภ์ในปัจจุบันมีหลายองค์กรได้เสนอแนวทางการตรวจคัดกรอง ทั้งนี้การเลือกใช้ขึ้นกับความเหมาะสมและคุ้มค่าที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ยึดตามแนวปฏิบัติขององค์การอนามัยโลก(WHO) ในปี 1999 และ American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ในปี 2001 การตรวจคัดกรองสามารถทำในผู้หญิงตั้งครรภ์ทุกราย (Universal Screening) หรือทำเฉพาะรายที่มีความเสี่ยง ขึ้นกับความชุกของเบาหวานในแต่ละแห่ง ที่มีความชุกสูงให้ทำทุกราย ทำการตรวจแบบ 2 ขั้นตอน (2 Step Screening) โดยเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติ ดังนี้

ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงควรตรวจคัดกรองให้เร็วที่สุด ถ้าผลปกติให้ตรวจซ้ำในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ ได้แก่

  • โรคอ้วน
  • เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • มีน้ำตาลในปัสสาวะ
  • มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน

ตรวจแบบ 2 ขั้น

วิธีการตรวจแบบ 2 ขั้น (Two Step Screening) ได้แก่

  1. การตรวจคัดกรองด้วย 50 กรัม Glucose Challenge Test ให้รับประทานกลูโคสขนาด 50 กรัม ขณะอายุครรภ์ที่ 24-28 สัปดาห์ โดยไม่คำนึงถึงมื้ออาหารที่ผ่านมา ถ้าระดับ  Plasma glucose เท่ากับ 140 มก./ดล.หรือมากกว่า ถือว่าผิดปกติ ถ้าผิดปกติให้ตรวจวินิจฉัยต่อด้วย 100 กรัม OGTT
  2. การตรวจวินิจฉัยด้วย 100 กรัม Oral Glucose Tolerance Test (OGTT) โดยทำการเจาะเลือดขณะอดอาหารและหลังให้รับประทานกลูโคส 100 กรัม ที่ 1, 2 และ 3 ชั่วโมงตามลำดับ เกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัย คือ
    • ขณะอดอาหารก่อนกลืนน้ำตาล 100 grams น้ำตาลควรจะน้อยกว่า 95 mg/dL
    • หลังกลืนน้ำตาล 100 grams ที่ 1 ชั่วโมง น้ำตาลควรจะน้อยกว่า 180 mg/dL
    • หลังกลืนน้ำตาล 100 grams ที่ 2 ชั่วโมง น้ำตาลควรจะน้อยกว่า 155 mg/dL
    • หลังกลืนน้ำตาล 100 grams ที่ 3 ชั่วโมง น้ำตาลควรจะน้อยกว่า 140 mg/dL

***หากตรวจพบความผิดปกติ >= 2 ค่า ของ 100 กรัม-OGTT ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์


ดูแลเบาหวานเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์

เมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์แนะนำให้พบนักกำหนดอาหาร โดยให้รับประทานอาหารจำพวกโปรตีน ลดอาหารจำพวกแป้ง เพิ่มการรับประทานไฟเบอร์ เพิ่มการรับประทานนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม

นอกจากนี้แนะนำให้เจาะระดับน้ำตาลในเลือดทั้งก่อนและหลังอาหาร โดยระดับน้ำตาลก่อนอาหารควรจะน้อยกว่า 95 mg/dL และหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลควรจะน้อยกว่า 120 mg/dL เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดในภายหลัง


เบาหวานหลังการตั้งครรภ์

หลังคลอดผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้ประมาณ 3 – 20 % แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ลดอาหารจำพวกแป้ง และหมั่นออกกำลังกาย ซึ่งจะสามารถป้องกันการเกิดเบาหวานในอนาคตได้


 


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ
ชั้น 2 อาคาร โรงพยาบาลกรุงเทพ
จันทร์ – ศุกร์ 7.00 - 16.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์ 7.00 – 16.00 น.

แชร์