ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios) คือ ภาวะที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ น้ำคร่ำสำคัญต่อการเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันอันตรายจากการกระทบกระเทือน ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงของการตั้งครรภ์ แต่หากคุณแม่ตั้งครรภ์น้ำคร่ำน้อยเกินไปในช่วงใกล้คลอด จากการทำงานของรกที่ไม่สมบูรณ์อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทำให้ทารกได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ทารกเจริญเติบโตช้า (Fetal Growth Restriction – FGR) และเพิ่มความเสี่ยงที่สายสะดือจะถูกกดทับระหว่างการหดรัดตัวของมดลูก ทำให้เลือดและออกซิเจนที่ส่งไปยังทารกลดลง อาจทำให้ทารกเกิดภาวะเครียดในครรภ์ (Fetal Distress) หัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และอาจต้องทำการคลอดฉุกเฉิน
หากเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยในช่วงอายุครรภ์น้อยอาจทำให้เกิดการกดทับ ส่งผลให้ทารกมีรูปร่างผิดปกติ เช่น ใบหน้าผิดรูป แขนขาโก่งงอ หรือเกิดภาวะเท้าปุก ปอดพัฒนาไม่เต็มที่ (Pulmonary Hypoplasia) การตรวจครรภ์ตามนัดหมายกับสูตินรีแพทย์จึงมีความสำคัญ เพราะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกวิธีและทันท่วงที
น้ำคร่ำคืออะไร
น้ำคร่ำ (Amniotic Fluid) คือ ของเหลวที่อยู่ภายในถุงน้ำคร่ำ มีหน้าที่ห่อหุ้มทารกในครรภ์ และมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
องค์ประกอบของน้ำคร่ำ
- น้ำ ประมาณ 98%
- สารอาหาร ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน
- เซลล์ผิวหนังของทารก
- ปัสสาวะของทารก
- สารคัดหลั่งจากปอดของทารก
น้ำคร่ำมีหน้าที่สำคัญอย่างไร
- ส่งเสริมการเติบโต น้ำคร่ำช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ส่งเสริมการพัฒนาของกล้ามเนื้อและกระดูก
- ป้องกันการกระทบกระเทือน น้ำคร่ำช่วยรองรับแรงกระแทกจากภายนอก ลดความเสี่ยงทารกได้รับบาดเจ็บ
- ควบคุมอุณหภูมิ น้ำคร่ำช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- พัฒนาปอด ทารกต้องฝึกหายใจโดยการสูดและขับน้ำคร่ำ ซึ่งช่วยพัฒนาปอดให้แข็งแรง
- พัฒนาทางเดินอาหาร ทารกจะกลืนน้ำคร่ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
- ป้องกันการติดเชื้อ น้ำคร่ำมีสารช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- ขยายปากมดลูกเมื่อเจ็บครรภ์คลอด แรงดันน้ำในโพรงน้ำคร่ำช่วยขยายปากมดลูกเมื่อคุณแม่ใกล้คลอด
ปริมาณน้ำคร่ำของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างไร
- ปริมาณน้ำคร่ำจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์
- ปริมาณน้ำคร่ำสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 800 – 1,000 มิลลิลิตร ในช่วงไตรมาสที่ 3 ภาวะน้ำคร่ำน้อยคือ มีปริมาณน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร

ภาวะน้ำคร่ำน้อยเกิดจากอะไร
- การแตกของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนด
- ความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น ความผิดปกติของไต
- รกเสื่อมสภาพหรือทำงานไม่เพียงพอ ทำให้การไหลเวียนของเลือดและสารอาหารไปยังทารกลดลง
- โรคประจำตัวของคุณแม่ เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ภาวะครรภ์เป็นพิษ
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) บางชนิด
ภาวะน้ำคร่ำน้อยมีอาการอย่างไร
คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถสังเกตภาวะน้ำคร่ำน้อยจากอาการผิดปกติ ดังต่อไปนี้
- ของเหลวไหลออกจากช่องคลอด
- ทารกดิ้นน้อยลงมากกว่าปกติ
- มดลูกมีขนาดลดลง
- น้ำหนักตัวลดลง

ภาวะน้ำคร่ำน้อยอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างไร
ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกได้ อาทิเช่น
- คลอดก่อนกำหนด ภาวะน้ำคร่ำน้อยเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
- ปอดของทารกไม่ขยาย ทำให้ทารกหายใจลำบากหลังคลอด
- สายสะดือถูกกดทับ เมื่อน้ำคร่ำน้อย มดลูกอาจบีบรัดสายสะดือ ทำให้ทารกขาดออกซิเจน
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์ โดยเฉพาะช่วงอายุครรภ์น้อย ๆ เกิดจากน้ำเดิน มีพังผืดกดรัดส่วนอวัยวะของทารก
- ทารกพิการ เพราะน้ำคร่ำน้อยที่เกิดจากภาวะน้ำเดินหรือแท้งคุกคามในไตรมาสแรก ทำให้เกิดพังผืดในถุงน้ำคร่ำ (Amniotic Band Syndrome – ABS) ถ้าไปกดรัดส่วนอวัยวะของทารก อาจทำให้ทารกถูกกดทับ ทำให้เกิดความพิการของอวัยวะ เช่น ใบหน้า แขน ขา มือ เท้าผิดรูป เป็นต้น
ดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีภาวะน้ำคร่ำน้อยอย่างไร
หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีภาวะน้ำคร่ำน้อย สูตินรีแพทย์จะพิจารณาการรักษาภาวะน้ำคร่ำน้อยโดยขึ้นอยู่กับสาเหตุ อายุครรภ์ และสุขภาพของทารก โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้
- การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากภาวะน้ำคร่ำน้อยไม่รุนแรงและทารกยังแข็งแรงดี แพทย์อาจทำการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์เป็นระยะเพื่อติดตามปริมาณน้ำคร่ำและการเจริญเติบโตของทารก รวมถึงการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (เช่น NST, BPP)
- การเติมน้ำคร่ำ (Amnioinfusion) ในบางกรณีโดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 24 – 34 สัปดาห์ สูตินรีแพทย์อาจพิจารณาเติมน้ำเกลือเข้าไปในโพรงมดลูกผ่านทางหน้าท้อง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำคร่ำ ช่วยลดการกดทับสายสะดือและเพิ่มพื้นที่ให้ทารกเคลื่อนไหว
- การรักษาภาวะสุขภาพของมารดา หากภาวะน้ำคร่ำน้อยมีสาเหตุจากโรคประจำตัวของมารดา เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน การควบคุมและรักษาโรคเหล่านั้นอย่างเหมาะสมอาจช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
- การยุติการตั้งครรภ์ หากภาวะน้ำคร่ำน้อยรุนแรง ทารกมีภาวะสุขภาพไม่ดี หรืออายุครรภ์ครบกำหนดแล้ว แพทย์อาจพิจารณาชักนำการคลอดหรือผ่าตัดคลอด
คุณแม่ตั้งครรภ์ป้องกันภาวะน้ำคร่ำน้อยได้อย่างไร
- ฝากครรภ์และพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น น้ำเดินหรือทารกดิ้นน้อยลง
- หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบสูตินรีแพทย์ทันที
คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้ามภาวะน้ำคร่ำน้อย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ควรหมั่นสังเกตตนเองและพบสูตินรีแพทย์ตามนัดหมาย หากมีอาการผิดปกติรีบแจ้งสูตินรีแพทย์ทันที เพื่อให้เจ้าตัวเล็กลืมตาดูโลกอย่างเติบโตและแข็งแรง
แพทย์ผู้ชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
นพ.ธีระ วัชรปรีชานนท์ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง
โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์จนถึงวันคลอดและหลังคลอด โดยสูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์และทีมสหสาขาที่มากด้วยประสบการณ์ คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้คุณแม่และเจ้าตัวเล็กมีสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมเติบโตอย่างสมบูรณ์
แพ็กเกจฝากครรภ์
แพ็กเกจฝากครรภ์ราคาเริ่มต้นที่ 69,000 บาท








