แพ้ยาอันตรายรุนแรง รู้ทันอาการก่อนสาย

5 นาทีในการอ่าน
แพ้ยาอันตรายรุนแรง รู้ทันอาการก่อนสาย
โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่

แพ้ยาไม่ใช่เรื่องไกลตัวสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยและทุกชนิดของยาจึงควรหมั่นสังเกตตนเองเพื่อรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพราะหากแพ้ยารุนแรงแล้วไม่รีบรักษาอาจอันตรายถึงชีวิตได้

 

แพ้ยาคืออะไร

การแพ้ยา (Drug Allergy) คือ ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อยามากเกินปกติ ไม่ได้เกิดจากฤทธิ์ของยาโดยตรง แต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่มองว่ายาเป็นสิ่งแปลกปลอมและทำให้เกิดอาการผิดปกติกับร่างกาย เช่น ผื่น คัน หน้าบวม หายใจไม่สะดวก ผิวลอก เยื่อบุปากตาอักเสบ หรือในบางรายอาจเกิดภาวะช็อกรุนแรงจนต้องรีบพบแพทย์ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นมักเกิดหลังจากได้รับยา ซึ่งยาที่พบบ่อย เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดอักเสบ ยากันชัก เป็นต้น

แพ้ยามีกี่ประเภท

การแพ้ยาแบ่งตามการเกิดปฏิกิริยาและอาการแสดงดังนี้

  1. แพ้ยาแบบเฉียบพลัน (Immediated – Type Drug Allergy) มักเกิดหลังได้รับยาที่สงสัยแพ้หลักนาทีถึง 6 ชั่วโมง โดยอาการมักเป็นลักษณะผื่นลมพิษ ซึ่งอาจเป็นทั้งตัว มีปากบวม หน้าบวมได้ บางรายรุนแรงลามไประบบอื่น ๆ เช่น หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเหลว เวียนศีรษะ หน้ามืด หมดสติได้ หากรักษาช้าอาจอันตรายถึงชีวิตได้
  2. แพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน (Non – Immediated Type Drug Allergy) เกิดขึ้นหลังได้รับยาตั้งแต่ 1 วันถึง 60 วัน (ในการแพ้บางลักษณะ) โดยปฏิกิริยาการแพ้แบบนี้มักเข้าใจผิดว่าเป็นยาชนิดที่เพิ่งเริ่มรับประทานหรือยาที่รับประทานติดต่อกันมาเป็นเดือน โดยอาการมีได้ตั้งแต่ผื่นแดงลามทั้งตัว บางรายเจ็บในปากในคอ เจ็บตา ผิวลอก มีไข้ร่วมด้วย บางรายรุนแรงมีตับอักเสบ ไตอักเสบ ปอดอักเสบ หรือผิวลอกทั้งตัว ตาบอด หรืออันตรายถึงชีวิตได้

แพ้ยาอันตรายรุนแรง รู้ทันอาการก่อนสาย

แพ้ยาทำไมต้องตรวจเช็กให้ชัดเจน

หลายคนอาจคิดว่าตนเองแพ้ยาโดยไม่ได้ตรวจยืนยัน ทำให้ต้องเลี่ยงยาที่จำเป็นในอนาคต ทั้งที่ความจริงอาการผื่นอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือบางรายได้รับยาหลายชนิดพร้อม ๆ กัน ก่อนเกิดปฏิกิริยาการแพ้ เช่น ได้รับยาปฏิชีวนะร่วมกับยาแก้ปวดอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยอาจแพ้แค่ยาแก้ปวดอักเสบ หรือแพ้แค่ยาปฏิชีวนะชนิดเดียวก็เป็นได้ แต่ผู้ป่วยต้องลงประวัติการแพ้ทั้งหมด ทำให้เสียโอกาสในการใช้ยาที่จำเป็นในอนาคต เช่น หากป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดอาจต้องเลี่ยงใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งฆ่าเชื้อดังกล่าวได้ดีไปใช้ยาทางเลือกแทน ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่า หรือในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอาจพลาดโอกาสในการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดที่มีข้อมูลว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดในการรักษา การตรวจวินิจฉัยจึงช่วยให้ทราบว่ายาใดเป็นสาเหตุ หรือจริง ๆ แล้วอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการแพ้ยา ทำให้มีโอกาสใช้ยาที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคต หรือหากมีการตรวจยืนยันการวินิจฉัยว่าแพ้ยาดังกล่าว หากเป็นกลุ่มยาจำเป็น เช่น กลุ่มยาปฏิชีวนะที่มีการแพ้ข้ามกันหลายตัว อาจพิจารณาตรวจเพื่อหาทางเลือกในการใช้ยาได้

แพ้ยาตรวจวินิจฉัยอย่างไร

แพทย์จะพิจารณาวิธีการตรวจวินิจฉัยจากประวัติการแพ้ยาว่าเป็นลักษณะการแพ้ยาแบบเฉียบพลันหรือการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน โดยขึ้นกับประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วย

1) ตรวจวินิจฉัยการแพ้ยาแบบเฉียบพลัน แพทย์จะพิจารณาวิธีการตรวจ ได้แก่

  • ทดสอบยาโดยการสะกิดผิวหนัง (Skin Prick Test) แพทย์จะหยดยาในความเข้มข้นที่เหมาะสมที่ได้รับการเตรียมพิเศษบนผิวหนังและทำการสะกิดเพื่อให้ยาซึมลงใต้ผิวหนัง แล้วสังเกตอาการตอบสนอง เช่น แดง บวม คัน
  • ทดสอบยาโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Skin Intradermal Test) หากตรวจทดสอบยาโดยการสะกิดผิวหนังแล้วไม่พบปฏิกิริยาจะทำการฉีดยาในความเข้มข้นที่เหมาะสมที่ได้รับการเตรียมพิเศษเข้าใต้ผิวหนัง แล้วสังเกตอาการตอบสนอง เช่น แดง บวม คัน
  • ทดสอบโดยการให้ยาทีละนิดภายใต้การดูแลใกล้ชิด (Drug Provocation Test) วิธีนี้จะทำหลังจากทดสอบยาโดยการสะกิดผิวหนังและทดสอบยาโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังแล้วไม่พบปฏิกิริยาการแพ้ หรือพิจารณาโดยแพทย์เฉพาะทางแล้วว่าผู้ป่วยไม่ได้แพ้รุนแรง ความเสี่ยงในการแพ้ยาน้อย โดยคอยดูแลอาการใกล้ชิด หากผู้ป่วยไม่พบปฏิกิริยาการแพ้ สามารถยืนยันได้ว่าปัจจุบันผู้ป่วยไม่พบปฏิกิริยาการแพ้ต่อยาดังกล่าว

แพ้ยาอันตรายรุนแรง รู้ทันอาการก่อนสาย

2) ตรวจวินิจฉัยการแพ้ยาแบบไม่เฉียบพลัน แพทย์จะพิจารณาวิธีการตรวจ ได้แก่

  • ทดสอบโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และประเมินผลที่ 2 – 3 วัน (Skin Intradermal Delayed Reading) แพทย์จะทำการฉีดยาในความเข้มข้นที่เหมาะสมที่ได้รับการเตรียมพิเศษเข้าใต้ผิวหนัง แล้วสังเกตอาการตอบสนอง เช่น แดง บวม คันที่ 2 – 3 วันหลังฉีด
  • ทดสอบโดยแปะยาที่ผิวหนัง โดยคาไว้ที่ผิว 2 วันและอ่านผลหลังจากนั้น (Patch Test) แพทย์จะทำการแปะยาที่สงสัยแพ้ที่บริเวณผิวหนัง โดยไม่ให้โดนน้ำประมาณ 2 วัน และนัดมาประเมินอาการแดงบวมคันบริเวณที่แปะหลังจากนั้น
  • เจาะเลือดประเมินค่าอักเสบจากยา (Blood Test เช่น ELISPOT, Lymphocyte Transformation Test) เป็นการตรวจนอกตัวผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องเจาะเลือดในช่วงเวลาที่เหมาะสม และจำเพาะต่อยาที่มีประวัติ โดยความไวในการตรวจประมาณร้อยละ 50 – 70 ขึ้นกับชนิดยา
  • ทดสอบโดยการให้ยาทีละนิดภายใต้การดูแลใกล้ชิด (Drug Provocation Test) แพทย์และผู้ป่วยจะพิจารณาทำ Drug Provocation Test หลังผ่านการทดสอบโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ทดสอบโดยแปะยาที่ผิวหนัง ทดสอบโดยการให้ยาทีละนิดภายใต้การดูแลใกล้ชิดแล้วไม่พบปฏิกิริยาการแพ้ หรือพิจารณาโดยแพทย์เฉพาะทางแล้วว่าผู้ป่วยไม่ได้แพ้รุนแรง และความเสี่ยงในการแพ้ยาน้อย โดยใช้เวลาการตรวจ 3 – 5 วันขึ้นกับปฏิกิริยาการแพ้ของผู้ป่วย หากผู้ป่วยไม่พบปฏิกิริยาการแพ้สามารถยืนยันได้ว่าปัจจุบันผู้ป่วยไม่พบปฏิกิริยาการแพ้ต่อยาดังกล่าว

แพ้ยาอันตรายรุนแรง รู้ทันอาการก่อนสาย

ตรวจวินิจฉัยแพ้ยามีประโยชน์อย่างไร

  • ผู้ป่วยสามารถใช้ยาที่มีประสิทธิภาพและมีความจำเป็นได้
  • หลีกเลี่ยงการปรับยาที่แรงกว่าหรือผลข้างเคียงมากกว่าโดยไม่จำเป็น
  • ลดโอกาสการเกิดเชื้อดื้อยาที่จะทำให้การรักษายากขึ้น

หากจำเป็นต้องใช้ยาที่แพ้โดยไม่มีทางเลือกต้องทำอย่างไร

แพทย์ที่จำเป็นจะต้องใช้ยาที่ผู้ป่วยแพ้จะทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้เพื่อพิจารณาข้อดีและข้อเสีย รวมถึงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะได้รับจากยาดังกล่าว หากไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องรักษาด้วยยาที่แพ้ แพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้จะทำหัตถการรักษาที่เรียกว่า การทำให้ทนต่อการแพ้ยาได้ชั่วคราว (Drug Desensitization) โดยจะค่อย ๆ ให้ยาทีละนิดรวมหลายชั่วโมง ซึ่งจะมีการให้ยาแพ้ก่อนเริ่มหัตถการเพื่อลดความเสี่ยง ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด หากพบปฏิกิริยาการแพ้จะให้ยารักษาอย่างรวดเร็ว และมีการพูดคุยกับผู้ป่วยในการให้ยาต่อจนถึงปริมาณการรักษาที่แพทย์ต้องการ วิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยทนต่อการแพ้ยาได้ชั่วคราว หากหยุดยาชนิดนี้ไป ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ยากลับมาใหม่ ตัวอย่างเคส การรักษา เช่น ผู้ป่วยแพ้ยาต้านเกล็ดเลือด แต่จำเป็นต้องรักษาโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยแพ้ยาปฏิชีวนะแต่ติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงจำเป็นต้องได้รับยา ผู้ป่วยแพ้ยาเคมีบำบัดแต่ไม่สามารถเปลี่ยนสูตรการรักษาได้  เป็นต้น

เมื่อมีอาการแพ้ยาทำอย่างไร

  • หากสงสัยว่าแพ้ยาควรหยุดยาทันทีและรีบพบแพทย์
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาทุกครั้งก่อนรับยา
  • พกบัตรแพ้ยาไว้เสมอเพื่อความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษาอาการแพ้ยาที่ไหนดี

ศูนย์โรคภูมิแพ้และหอบหืด โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การตรวจประเมิน วินิจฉัย ดูแลรักษาผู้ที่มีอาการแพ้ยาอย่างใกล้ชิด ตลอดจนให้คำปรึกษาและให้ความรู้ที่ถูกต้อง ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

แพทย์ที่ชำนาญการรักษาอาการแพ้ยา

นพ.จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี แพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก ศูนย์ภูมิแพ้และหอบหืด โรงพยาบาลกรุงเทพ

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง

ข้อมูลโดย

Doctor Image

นพ. จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก

นพ. จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก
Doctor profileDoctor profile

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์โรคภูมิแพ้ และหอบหืด

ชั้น 3 อาคาร A โรงพยาบาลกรุงเทพ

วันจันทร์-พฤหัส และอาทิตย์ เวลา 8.00-17.00 น.

วันศุกร์-เสาร์  เวลา 8.00-16.00 น.