สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ “การฝากครรภ์” มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการดูแลคุณแม่และทารกในครรภ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะถึงวันคลอด ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ทั้งการตรวจเช็กพัฒนาการของทารกในครรภ์ การเฝ้าระวังความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนการแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องขณะตั้งครรภ์ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลกอย่างแข็งแรง ดังนั้นการเลือกฝากครรภ์ให้ถูกที่จะช่วยให้คุณแม่มีความอุ่นใจในการดูแลลูกน้อยในครรภ์อย่างมีคุณภาพ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง เครื่องมือทันสมัย และบริการที่ได้มาตรฐาน
ฝากครรภ์คืออะไร
การฝากครรภ์ (Antenatal Care) คือ การดูแลครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์หรือตรวจพบว่ากำลังตั้งครรภ์ โดยจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ 4 – 8 สัปดาห์ ซึ่งควรฝากครรภ์กับสถานพยาบาลที่มีสูติแพทย์ผู้ชำนาญการ รวมไปถึงสูติแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) เพื่อให้การดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์แบบเชิงลึก ติดตามการเจริญเติบโตและป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ คอยให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างใกล้ชิด ตลอดจนเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจของคุณแม่ เพื่อให้ตั้งครรภ์ รวมไปถึงคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย และได้ทารกที่มีพัฒนาการสมบูรณ์แข็งแรง
ฝากครรภ์ไตรมาสแรก (เริ่มตั้งครรภ์ – อายุครรภ์ 14 สัปดาห์) ต้องตรวจอะไร
หลังจากที่สูติแพทย์ได้ตรวจยืนยันว่ามีการตั้งครรภ์ในมดลูกที่ปกติแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเข้าสู่กระบวนการฝากครรภ์ โดยสูติแพทย์จะมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อประเมินว่าคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นมีความเสี่ยงอะไรบ้าง และมีจุดไหนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้ว ก็จะมีการเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะของคุณแม่ตั้งครรภ์ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินความพร้อมเบื้องต้นของคุณแม่ตั้งครรภ์ซึ่งประกอบไปด้วย
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด เพื่อบอกระดับความเข้มข้นของเลือด (ภาวะซีด) ขนาดและรูปร่างเม็ดเลือดแดง ปริมาณเม็ดเลือดขาว และปริมาณเกล็ดเลือดในร่างกาย
- ตรวจหาพาหะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โดยการตรวจเลือดเพื่อเช็กว่าเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ ได้แก่ แอลฟา – ธาลัสซีเมียแฝง, เบตา – ธาลัสซีเมียแฝง, ฮีโมโกลบินอีแฝง และโฮโมซัยกัสฮีโมโกลบินอี
- ตรวจหมู่โลหิต ABO ว่าอยู่ในกรุปเลือด A, B, O หรือ AB
- ตรวจหมู่โลหิตอาร์เอช ว่าเป็นแบบปกติ (Positive) หรือเป็น Negative ซึ่งพบได้น้อยมาก
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกัน (Antibody) ของร่างกายที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองเมื่อมีเชื้อ HIVเข้าสู่ร่างกาย ถ้าผลเลือดออกมาเป็นลบคือไม่พบเชื้อเอชไอวี
- ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิส
- ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBs Antibody (Anti – HBs) หรือ Hepatitis B Surface Antibody ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่อต้านส่วนเปลือก (Surface) ของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HbsAg (Hbs Antigen) หรือ Hepatitis B Surface Antigen ตรวจเลือดเพื่อหาสารโปรตีนจากเปลือกของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากผลเป็นบวกแสดงว่ากำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBc Antibody หรือ HBcAb Hepatitis B Core Antibody ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านส่วนแกนหรือ Core ของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันร่างกายที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี
- ตรวจภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน เพราะหากติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์มีความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกพิการแต่กำเนิดหรือแท้งได้
- ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของต่อมไทรอยด์ เพื่อประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์ หากผิดปกติอาจส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้
- ตรวจระดับวิตามินดี เพราะในหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงขาดวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยหากต่ำกว่า 32 ng/ml (80 nmol/L) ในเลือดแสดงว่ามีภาวะขาดวิตามินดี
- ตรวจปัสสาวะอย่างสมบูรณ์ เพื่อตรวจระดับน้ำตาลที่อาจบ่งชี้ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์, ตรวจโปรตีนในปัสสาวะที่อาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ, ตรวจระดับคีโตนเช็กการเผาผลาญไขมันของร่างกาย และตรวจหาเชื้อแบคทีเรียและเม็ดเลือดขาวที่แสดงถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมสำคัญอย่างไร
ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ทำให้ทารกมีความผิดปกติต่าง ๆ เช่น มีความบกพร่องของสติปัญญา, ใบหน้าผิดปกติ, ผนังกั้นห้องหัวใจรั่ว เป็นต้น สาเหตุส่วนมากเกิดจากการแบ่งตัวของโครโมโซมในเซลล์ไข่ช่วงที่มีการปฏิสนธิผิดปกติ หมายความว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกรายมีโอกาสที่จะมีทารกเป็นดาวน์ซินโดรม โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุของหญิงตั้งครรภ์ที่มากขึ้น ดังนั้นการตรวจคัดกรองดาวน์ซิน
โดรมจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการตรวจคัดกรองภาวะนี้ที่ค่อนข้างแม่นยำมากจากการตรวจชิ้นส่วนของดีเอ็นเอของทารกที่อยู่ในเลือดของมารดา (Cell – Free Fetal DNA) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ NIPT (Non – Invasive Prenatal Testing) โดยสามารถตรวจได้เร็วที่สุดที่อายุครรภ์หลัง 10 สัปดาห์
ตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษสำคัญอย่างไร
ภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ ภาวะที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูงร่วมกับมีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงขั้นมีเลือดออกในสมอง ชักเกร็ง และเสียชีวิตได้ โดยภาวะนี้มักเกิดในช่วงหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ดังนั้นการตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษในช่วงไตรมาสแรกจึงมีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะสามารถระบุความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษในคุณแม่ตั้งครรภ์รายนั้น ๆ ได้ โดยจะประเมินจากประวัติส่วนตัวของหญิงตั้งครรภ์, ค่าความดันโลหิต, ค่าสารชีวเคมีในเลือด (Placental Growth Factor- PlGF), การวัดการไหลเวียนของเส้นเลือดที่เลี้ยงมดลูกจากการอัลตราซาวนด์ โดยหากผลออกมาว่าคุณแม่ตั้งครรภ์รายนั้นอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษก็จะให้รับประทานยา (แอสไพริน) เพื่อป้องกันการเกิดครรภ์เป็นพิษในอนาคตได้ ทั้งนี้การตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษและการใช้ยาแอสไพริน คุณแม่ควรได้รับคำแนะนำอย่างละเอียดโดยสูติแพทย์อีกครั้ง

ฝากครรภ์ไตรมาสที่สอง (อายุครรภ์ 14 – 28 สัปดาห์) ต้องตรวจอะไร
การตรวจอัลตราซาวนด์คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 14 – 28 สัปดาห์จำเป็นในการประเมินสุขภาพ ความผิดปกติ หรือความพิการของทารกในครรภ์ และตรวจได้ตลอดการตั้งครรภ์ตามที่แพทย์แนะนำเพื่อเช็กความผิดปกติทางโครงสร้างร่างกายทารกในครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำคร่ำ รก สายสะดือ กะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง แขน ขา ช่องอก เนื้อปอด หัวใจ ผนังหน้าท้อง และอวัยวะภายในช่องท้อง วัดขนาดทารกเพื่อตรวจสอบการเติบโต ป้องกันการตั้งครรภ์เกินกำหนด อีกทั้งการเห็นภาพทารกเคลื่อนไหวในครรภ์แสดงสายใยความรักความผูกพันระหว่างคุณแม่และลูกน้อย
โดยการอัลตราซาวนด์คุณแม่ตั้งครรภ์มีตั้งแต่การอัลตราซาวนด์ 2 มิติ 3 มิติ และ 4 มิติ
- การอัลตราซาวนด์ 2 มิติ (Ultrasound 2D) เป็นการตรวจพื้นฐานของคุณแม่ตั้งครรภ์ สามารถแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ของทารกทั้งอวัยวะภายนอกและภายในของทารกในครรภ์ จัดเป็นการอัลตราซาวนด์ที่ได้ข้อมูลของทารกมากที่สุด โดยเฉพาะการอัลตราซาวนด์ในช่วงอายุครรภ์ 18 – 22 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงอายุครรภ์ที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินอวัยวะต่าง ๆ ของทารกอย่างละเอียด โดยสูติแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM)
- การอัลตราซาวนด์ 3 มิติ (Ultrasound 3D) เป็นการตรวจที่เพิ่มความลึกเพิ่มเติมจากแบบ 2 มิติ ทำให้มองเห็นรูปร่างภายนอกของทารก รวมถึงใบหน้า จะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถจินตนาการหน้าตาของลูกน้อยได้
- การอัลตราซาวนด์ 4 มิติ (Ultrasound 4D) เป็นการตรวจแบบสามมิติที่เพิ่มมิติที่ 4 คือ “เวลา” เข้าไป ทำให้มองเห็นภาพทารกเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์
ตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์สำคัญอย่างไร
โดยปกติการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะทำในช่วงอายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่รกมีการสร้างฮอร์โมนที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้มากที่สุด หากพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต้องได้รับการดูแลเรื่องการรับประทานอาหาร รวมไปถึงการติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิด
ฝากครรภ์ครบ 28 สัปดาห์ (ไตรมาสที่ 3) ต้องตรวจอะไร
เมื่ออายุครรภ์ครบ 28 สัปดาห์จะถือว่าเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ทารกในครรภ์เริ่มเติบโตเต็มที่ คุณแม่จะต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดบุตรดังต่อไปนี้
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด เพื่อเช็กความเข้มข้นของเลือด ขนาดและรูปร่างเม็ดเลือดแดง ปริมาณเม็ดเลือดขาว และปริมาณเกล็ดเลือดในร่างกายอีกครั้งก่อนคลอด
- ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิส
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี ตรวจเลือดซ้ำเพื่อหาภูมิคุ้มกัน (Antibody) ของร่างกายคุณแม่ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองเมื่อมีเชื้อ HIVเข้าสู่ร่างกาย
- ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus Group B (GBS) ที่แฝงอยู่ที่ช่องคลอดและทวารหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อในกระแสเลือด และทารกแรกเกิดอาจติดเชื้อรุนแรง หรือเสียชีวิตได้
- ตรวจวัดสุขภาพทารกในครรภ์ วัดอัตราการเต้นหัวใจของทารก และการบีบตัวของมดลูก (Non -Stress Test – NST) เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อยืนยันว่าทารกในครรภ์แข็งแรงและไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้น

วัคซีนที่คุณแม่ควรได้รับขณะตั้งครรภ์
วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันความผิดปกติของทารก ได้แก่
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนสายพันธุ์ทุกปี ทั้งยังมีอาการและภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คุณแม่ตั้งครรภ์จึงต้องได้รับวัคซีน 1 เข็มต่อการตั้งครรภ์แต่ละครั้งและควรฉีดเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 เพราะปัจจุบันยังคงมีการระบาดของเชื้ออยู่ ซึ่งหากมีการติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้มีอาการที่รุนแรงมากกว่าปกติได้ แนะนำฉีดได้ช่วงอายุครรภ์ 12 – 20 สัปดาห์
- วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เพราะเป็นโรคติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะไอกรนที่คุณแม่มักส่งต่อเชื้อสู่ลูกน้อย หรือบาดทะยักที่มีความรุนแรงหากไม่ได้ฉีดให้ครบถ้วน คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรฉีดวัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เมื่อมีอายุครรภ์ 20 – 32 สัปดาห์
- วัคซีนป้องกันไวรัส RSV (Abrysvo) เป็นวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส RSV ไปยังลูกน้อยผ่านทางรก ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ RSV ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนแรก แนะนำฉีดวัคซีนเมื่อมีอายุครรภ์ 24 – 36 สัปดาห์

ข้อดีของการฝากครรภ์
- คุณแม่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ดูแลครรภ์และปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
- หากเกิดความผิดปกติกับทารกระหว่างตั้งครรภ์สามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที
- ลดอัตราการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด ทารกในครรภ์เสียชีวิต
- ลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
- ป้องกันการอักเสบและติดเชื้อของทารกในครรภ์
- คลอดลูกน้อยที่สมบูรณ์ แข็งแรง น้ำหนักตัวเหมาะสม
จะเห็นได้ว่าการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ มีรายละเอียดต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นการเลือกฝากครรภ์ให้ถูกที่ก็จะช่วยลดความกังวลของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้การตั้งครรภ์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่นไปจนถึงวันคลอด เพื่อให้เจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
แพทย์ผู้ชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
นพ.วีรวิชญ์ พรวัฒนไกรเลิศ สูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง
โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ตลอดระยะเวลาของการฝากครรภ์ โดยมีสูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ และทีมสหสาขาที่พร้อมดูแลในทุกมิติระหว่างการตั้งครรถ์จนถึงวันคลอด เพื่อให้คุณแม่แข็งแรงและเจ้าตัวเล็กลืมตาดูโลกอย่างสมบูรณ์
แพ็กเกจฝากครรภ์
แพ็กเกจฝากครรภ์ราคาเริ่มต้นที่ 69,000 บาท








