ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา

4 นาทีในการอ่าน
ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา

แชร์

โรคต้อหรือตาต้อที่เกิดขึ้นกับดวงตานั้นเกิดจากหลากหลายสาเหตุ  โดยอาการและความรุนแรงนั้นแตกต่างกันออกไปตั้งแต่อาการเล็กน้อย ระคายเคืองตา ไปถึงตามัว หรือทำให้ตาบอดได้ ต้อต่าง ๆ ในตาที่น่าจะคุ้นชินกันดีมี 4 ชนิด คือ ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และต้อหิน  เราจึงควรรู้เท่าทัน 4 โรคต้อที่คนไทยเป็นกันมาก เพื่อรักษาดวงตาให้ปลอดภัย


1)
ต้อลม

ต้อลม (Pinguecula) ลักษณะเป็นเนื้อนูนที่เยื่อบุตาด้านข้างกระจกตาหรือตาดำโดยอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva) ส่วนใหญ่มักเกิดอยู่ที่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูกแต่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านหัวตาและหางตาพร้อมกันได้เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้นส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามากขึ้นได้สาเหตุของต้อลมมาจากรังสียูวีเช่นจากแสงแดดทำให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพกลายเป็นเนื้อนูนขึ้นเมื่อโดนลมฝุ่นจะทำให้เคืองตามากขึ้นได้จากการอักเสบหรือผิวตาแห้งง่ายพบได้ในคนทุกเพศทุกวัยและในประเทศเขตร้อนพบได้มากเพราะสัมพันธ์กับการเจอแดดโดยส่วนใหญ่อายุที่พบจะมากกว่า 30 ปีขึ้นไปอาการที่เกิดขึ้นคือตาแห้งเคืองตาแสบตาคันตาตาแดงการรักษาต้อลมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคหากโรคยังไม่รุนแรงคือต้อมีขนาดเล็กผู้ป่วยไม่รู้สึกระคายเคืองการรักษาในระยะนี้แพทย์มักแนะนำให้ป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นมากขึ้นโดยปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลตอย่างเคร่งครัดด้วยการสวมแว่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีกิจกรรมนอกอาคารเพื่อไม่ให้ต้อเติบโตลุกลามมากยิ่งขึ้นถ้ามีอาการระคายเคืองหากเกิดการอักเสบแดงแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองลดการอักเสบ

ข้อมูลเพิ่มเติม : ต้อลมและต้อเนื้อ ความเสื่อมของเยื่อบุตา

ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา


2) ต้อเนื้อ

ต้อเนื้อ (Pterygium) มีลักษณะเห็นเป็นเนื้อสามเหลี่ยม โดยมีหัวอยู่ที่กระจกตา เนื้อเยื่อเหมือนเยื่อบุตาซึ่งมีเส้นเลือดวิ่งเข้าไปเกาะอยู่บนกระจกตาดำ อาจใหญ่หรือเล็กก็ได้ จะแดงมากน้อยขึ้นอยู่กับมีปริมาณเส้นเลือดมากหรือน้อย ทั้งต้อลมและต้อเนื้อส่วนใหญ่อยู่ที่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูก แต่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านหัวตาและหางตาพร้อมกัน ต้อเนื้อเกิดจากการถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน UV เป็นส่วนประกอบในแสงแดดและมักพบต้อเนื้อในคนที่อาศัยในเขตอากาศร้อน ใช้ชีวิตประจำวันกลางแจ้ง หรือโดนแสง UV มาก ๆ 

ในกรณีของต้อเนื้อที่มีการลุกลามเข้าไปบนกระจกตามากมีขนาดใหญ่และอักเสบเรื้อรังการมองเห็นแย่ลงเพราะกดกระจกตาจักษุแพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดลอกต้อเนื้อเพื่อลอกเอาเนื้อเยื่อต้อเนื้อออกจากเยื่อตาและผิวกระจกตาต้อเนื้อเป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงหลังการผ่าตัดโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อายุน้อยและผู้ที่ยังคงได้รับรังสีUVอย่างต่อเนื่องดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อซ้ำแพทย์มักผ่าตัดด้วยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่โดยใช้เยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยเองหรือเยื่อหุ้มรกที่เตรียมพิเศษซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันโดยอาจใช้วิธีเย็บเนื้อเยื่อหรือใช้ Fibrin Glue 

การป้องกันการเกิดต้อเนื้อเหมือนกับต้อลมคือควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าโดยเฉพาะช่วยสายถึงบ่ายต้นๆหากทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งและพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมฝุ่นควันที่ส่งผลทำให้กระตุ้นการอักเสบระคายเคืองมากขึ้นได้

ข้อมูลเพิ่มเติม : ต้อลมและต้อเนื้อ ความเสื่อมของเยื่อบุตา

ระวัง 4 โรคต้อทำร้ายดวงตา


3) ต้อกระจก

ต้อกระจก (Cataract) คือโรคที่มีเลนส์แก้วตาขุ่นลง สาเหตุหลักคือจากการเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุ มักพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุกับดวงตา หรือการได้รับยากลุ่ม Steroid เป็นต้น ทุกคนมีโอกาสเป็นต้อกระจกตามวัย เพราะคือความเสื่อมของร่างกาย แต่อาจเป็นเร็วช้าต่างกัน อาการที่มักพบคือ มองเห็นมัวเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง มองเห็นสีเพี้ยน ภาพซ้อน ตามัวในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เมื่ออยู่กลางแดดตาจะสู้แสงไม่ได้  

วิธีการรักษานั้นยังไม่มียาหยอดตาหรือยารับประทานเมื่อมองเห็นมัวลงมีผลต่อการใช้ชีวิตควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดปัจจุบันวิธีที่เป็นมาตรฐานที่นิยมคือวิธีสลายต้อกระจกด้วยเครื่องสลายต้อและใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Phacoemulsification with Intraocular Lens) โดยส่วนใหญ่ใช้เพียงแค่ยาชาเฉพาะที่ผ่าตัดเร็วแผลมีขนาดเล็กกลับมามองเห็นเร็วไม่ต้องนอนโรงพยาบาลเลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ทดแทนเมื่อนำต้อกระจกออกแล้วในปัจจุบันมีให้เลือกหลายชนิดตามความต้องการของคนไข้มีทั้งเลนส์ที่ชัดระยะเดียวมองไกลได้ชัดเจนมากขึ้นหรือเลนส์ชัดหลายระยะที่หลังผ่าตัดลดการพึ่งพาแว่นลงทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น  หรือถ้าคนไข้มีสายตาเอียงสามารถแก้สายตาเอียงไปพร้อมกันได้จากการเลือกเลนส์ให้เหมาะสม

การป้องกันต้อกระจกแนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตระมัดระวังไม่ให้ดวงตาถูกกระแทกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็นและเมื่ออายุมากขึ้นควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม : การผ่าตัดรักษาต้อกระจกและเลนส์แก้วตาเทียมชนิดต่าง ๆ 


4) ต้อหิน

ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้เพราะไม่มีอาการบอกล่วงหน้า  มักพบความดันในลูกตาสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้โรคแย่ลง ส่งผลทำลายเส้นประสาทตาและขั้วประสาทตา ทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตาอย่างถาวรได้  ต้อหินบางชนิดความดันลูกตาไม่สูง แต่ต้องคุมความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมมากขึ้น ถ้าหากไม่ทำการรักษาจะทำให้ลานสายตาค่อย ๆ แคบลงจนตาบอดได้ในที่สุด พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่ที่พบมากคืออายุ 40 ปีขึ้นไป ต้อหินที่พบมีทั้งต้อหินเฉียบพลันที่มีอาการปวดตามากทันทีทันใดและเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ และต้อหินเรื้อรังเป็นภัยเงียบ ไม่มีอาการใด ๆ ต้องตรวจตาและวัดความดันลูกตาจึงรู้ 

วิธีการรักษาต้อหินแม้ไม่ได้ช่วยให้หายขาดแต่ช่วยควบคุมไม่ให้อาการแย่ลงส่วนใหญ่รักษาเพื่อควบคุมความดันตาให้เหมาะสมโดยมีทั้งการใช้ยาหยอดตายารับประทานการใช้เลเซอร์รักษาตามชนิดต้อหินและการผ่าตัดที่ใช้เมื่อรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผลโดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของจักษุแพทย์เพื่อคุมความดันลูกตาให้อยู่ในเกณฑ์ดี 

การป้องกันต้อหินที่ดีที่สุดคือรู้เท่าทันจึงควรตรวจเช็กสายตาเป็นประจำทุกปีโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ขึ้นไปผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นต้อหินผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากๆผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ป่วยโรคที่มีการไหลเวียนเลือดไม่ดีนอกจากนี้ควรเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์หยอดตาโดยไม่จำเป็นเนื่องจากทำให้ความดันตาสูงได้

ข้อมูลเพิ่มเติม : ตรวจเช็กต้อหินก่อนรู้ตัวเมื่อสาย 


การตรวจเช็กดวงตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปีเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากจะช่วยประเมินสุขภาพดวงตาได้อย่างละเอียดแล้ว หากตรวจพบว่าดวงตามีปัญหาโรคต้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น


 


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ชั้น 5 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ
เปิดให้บริการ
จันทร์-ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.
เสาร์ 08.00 - 17.00 น
อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.

แชร์