อาการปวดท้องน้อย หรือปวดหน่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน เป็นภาวะที่ผู้หญิงหลายคนต้องเคยประสบ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ แม้บางครั้งอาการจะไม่รุนแรง แต่ในมุมมองของแพทย์ อาการเหล่านี้อาจสะท้อนถึงภาวะผิดปกติของสุขภาพสตรี ตั้งแต่เรื่องทั่วไป เช่น รอบเดือน ไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือถุงน้ำรังไข่แตกที่จำเป็นต้องวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน
มา “ไขความลับ” อาการปวดท้องน้อย จากมุมมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจสัญญาณอันตรายได้อย่างทันท่วงที พร้อมตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า เมื่อใดควรรีบพบแพทย์
อาการปวดท้องน้อย ปวดท้องหน่วงๆ บริเวณอุ้งเชิงกราน คืออะไร?
อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นอาการเดียวกันเสมอไป แต่เป็นสัญญาณที่สะท้อนสุขภาพทั้งทาง อวัยวะสืบพันธุ์ (นรีเวช) ระบบ ทางเดินอาหาร ระบบ กระเพาะปัสสาวะ และ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ค่ะ โดยผู้เชี่ยวชาญแบ่งอาการออกเป็น:
- เฉียบพลัน (acute): ปวดฉับพลัน เช่น ปีกมดลูกบิดถุงน้ำรังไข่แตก
- เรื้อรัง (chronic): ปวดลึกยาวนาน ≥ 3 เดือน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและอารมณ์
เจาะลึกกลไกอาการปวดท้องน้อย
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
- โรคเรื้อรังที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเติบโต เจริญผิดที่ เช่น บนรังไข่ ลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะ
- ก่อให้เกิดการอักเสบ ติดขัดทางเดินลำไส้ และภาวะ “endo belly” ที่ทำให้ท้องบวม ปวดเรื้อรัง ปวดท้องประจำเดือนมาก
- ผู้ป่วยมักละเลยในการเข้ามารับการตรวจวินิจฉัย แต่เมื่อเป็นแล้วอาจรุนแรงและถุงน้ำรังไข่แตกทำ และเสี่ยงต่อมะเร็งรังไข่ในบางกรณี
2. ซีสต์และการบิดของรังไข่
- ซีสต์อาจแตกหรือบิดขั้ว พร้อมเลือดออกภายในถุงน้ำ
- หากซีสต์ > 4 ซม. ความเสี่ยงบิดตัวสูงขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะปวดท้องรุนแรง
3. เนื้องอกมดลูก (Fibroids) และ โรคกลุ่มอาการอุ้งเชิงกรานคั่ง (Pelvic Congestion Syndrome)
- เนื้องอกมดลูกอาจทำให้เกิดแรงกดในอุ้งเชิงกราน และกระตุ้นประจำเดือนมาก
- Pelvic congestion syndrome มีอาการเรื้อรัง เช่น ปวดตอนยืน หรือหลังการมีเพศสัมพันธ์ และปวดเรื้อรังนานกว่า 3 เดือน
4. โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic inflammatory disease or PID) หรือ ก้อนฝีหนองในอุ้งเชิงกราน (Tubo-ovarian abscess or TOA)
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน จากเชื้อคลามีเดียหรือหนองใน และเกิดฝี ที่ปีกมดลูก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
- TOA อาจนำไปสู่ภาวะช็อค หากฝีแตกและเหตุการณ์เชื้อโรคลุกลาม จนติดเชื้อในกระแสเลือด
5. กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- ปัญหากล้ามเนื้อเชิงกราน เช่น ช่องคลอดหดเกร็ง vaginismus หรือ ภาวะความผิดปกติของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน pelvic floor dysfunction ส่งผลต่อการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ การถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระ และอาจมีอาการปวดร้าวไปหลัง
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ลักษณะปวด ปวดหน่วงก่อน-หลังมีรอบเดือน, ปวดร้าวหลัง/ขณะมีเพศสัมพันธ์ อาการร่วม ท้องบวม, มีเลือดแดงในช่องคลอดผิดปกติ, อุจจาระ/ปัสสาวะเจ็บ วิธีวินิจฉัย ซักประวัติ, ตรวจภายในultrasound, laparoscopy
เนื้องอกมดลูก (Fibroids) ลักษณะปวด ปวดหน่วงจากแรงกด อาการร่วม ประจำเดือนมาก, คลื่นไส้, ปัสสาวะบ่อย วิธีวินิจฉัย Hx.PV Ultrasound
ก้อนฝีหนองในอุ้งเชิงกราน (TOA) ลักษณะปวด ปวดฉับพลัน, ปวดร้าว, Fever, คลื่นไส้ อาการร่วม ตกขาวผิดปกติ เลือดออก ไข้สูง วิธีวินิจฉัย Ultrasound, lab, CBC, UA, Wet, Culture laparoscopy
ภาวะหลอดเลือดดำคั่งในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Congestion) ลักษณะปวด ปวดเรื้อรังหลังยืนนานหรือมีเพศสัมพันธ์ อาการร่วม ปวดขา ปวดท้องประจำเดือน วิธีวินิจฉัย Doppler ultrasound, CT/MRI
ภาวะความผิดปกติของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor dysfunction) ลักษณะปวด ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์, กลั้นปัสสาวะ/ถ่ายอุจจาระลำบาก อาการร่วม ปัสสาวะ/ถ่ายผิดปกติ วิธีวินิจฉัย Physical exam, PV, pelvic floor therapist
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดท้องน้อย
- ปวดท้องประจำเดือน (Dysmenorrhea)
เป็นอาการปวดที่พบได้มากที่สุดใน ปวดท้องน้อยในผู้หญิง โดยมักปวดหน่วงๆ ในวันแรกๆ ของการมีประจำเดือน อาจร้าวไปหลังหรือขา อาการปวดประจำเดือนจะหายไปเมื่อหมดประจำเดือน
- ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cyst)
หากซีสต์มีขนาดใหญ่หรือแตก อาจทำให้เกิด อาการปวดท้องน้อย ปวดร้าวท้องน้อย อย่างเฉียบพลัน และมักมีอาการหน้ามืดหรือคลื่นไส้ร่วมด้วย, ท้องบวม
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
ทำให้เกิด อาการปวดท้องน้อยหน่วงๆ เรื้อรัง โดยมักปวดมากในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน และอาจมีอาการแทรกซ้อนด้านระบบทางเดินปัสสาวะ
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic Pregnancy)
ภาวะอันตรายที่ทำให้เกิด อาการปวดท้องน้อยแบบรุนแรงเฉียบพลัน, หน้ามืด, ท้องบวม มักเกิดเพียงข้างเดียว อาจมีเลือดออกจากช่องคลอด และเป็นอันตรายต่อชีวิตหากไม่รักษาทันที
สัญญาณอันตรายของอาการปวดท้องน้อย ที่ควรพบแพทย์โดยด่วน
- ปวดเฉียบพลันรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ใช่ประจำเดือน
- มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน
- ปัสสาวะบ่อย แสบ หรือมีเลือดปน
- เวียนศีรษะ หน้ามืด หมดสติ ร่วมกับภาวะประจำเดือนผิดปกติ
- อาการปวดไม่หายภายใน 3 วันหลังทานยาแก้ปวดหรือพักผ่อน
- เลือดออก ปวดท้องมากขณะตั้งครรภ์
วิธีวินิจฉัยจากแพทย์ – ตรวจอย่างไรให้รู้โรค
การวินิจฉัย อาการปวดท้องน้อย ปวดร้าวท้องน้อย ปวดท้องน้อย อุ้งเชิงกราน อย่างแม่นยำ แพทย์จะใช้ขั้นตอนต่อไปนี้
- ซักประวัติอาการโดยละเอียด
ถามถึงรอบเดือน ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ประวัติการตั้งครรภ์ อาการร่วม เช่น มีไข้ ตกขาวผิดปกติ, ประจำเดือนผิดปกติ - ตรวจร่างกายและตรวจภายใน
แพทย์จะใช้มือคลำหน้าท้องและการตรวจภายในเพื่อประเมินขนาด มดลูก รังไข่ และจุดที่เจ็บเฉพาะ - อัลตราซาวด์ ( ทางหน้าท้องและช่องคลอด)
ใช้เพื่อดูโครงสร้างภายในช่องท้องและมดลูก และปีกมดลูกทั้งสองข้างเพื่อตรวจดูเนื้องอกมดลูกหรือถุงน้ำรังไข่ - ตรวจเลือด/ปัสสาวะ/สารคัดหลั่ง
เช็กค่าการอักเสบ การติดเชื้อ หรือการตั้งครรภ์ ,การนำตกขาวไปเพาะเชื้อ - การส่องกล้อง (Laparoscopy)
ใช้กรณีที่อาการปวดเรื้อรังไม่สามารถวินิจฉัยด้วยวิธีอื่น
แนวทางการรักษาและดูแลตามสาเหตุ
- ยาแก้ปวดและฮอร์โมน – ใช้ในกรณีโรคเรื้อรัง เช่น endometriosis หรือ ถุงน้ำรังไข่ขนาดเล็ก
- ผ่าตัด – สำหรับก้อนที่มีขนาดใหญ่ หรือมีภาวะแทรกซ้อนของก้อน
- กายภาพบำบัดและการฝังเข็ม – สำหรับอาการปวดจากกล้ามเนื้อหรือระบบประสาท
- เปลี่ยนพฤติกรรม – พักผ่อนให้พอ ลดความเครียด และงดเครื่องดื่มกระตุ้น
แม้ว่า อาการปวดท้องน้อย ปวดท้องหน่วงๆ จะดูไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จากมุมมองของแพทย์ อาการเหล่านี้คือ “ภาษาร่างกาย” ที่ส่งสัญญาณเตือนเราล่วงหน้า การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด รู้จักการ ตรวจภายใน และรับการวินิจฉัยที่แม่นยำ จะช่วยให้คุณรับมือกับ โรคทางนรีเวช ได้อย่างมั่นใจ และมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน








