โรคเกาต์ ไม่ใช่แค่ปวดข้อแต่อาจเสี่ยงโรคร้าย

2 นาทีในการอ่าน
โรคเกาต์ ไม่ใช่แค่ปวดข้อแต่อาจเสี่ยงโรคร้าย
โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่

หลายคนมักเข้าใจว่าเกาต์เป็นโรคข้อธรรมดา แค่มีอาการปวดบวม แต่ในความเป็นจริงเกาต์ไม่ใช่แค่ปวดข้อ แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพในระยะยาว หากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุมระดับกรดยูริกให้ดี อาจนำไปสู่โรคร้ายแทรกซ้อน อย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และโรคไตเรื้อรัง

 

โรคเกาต์คืออะไร

โรคเกาต์ คือ โรคข้ออักเสบที่เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นระยะเวลานานจนตกผลึกสะสมในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน ปวดบวมรุนแรง สามารถรักษาได้และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้ ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลอย่างเหมาะสม

ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยของโรคเกาต์

  • พันธุกรรมหรือมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเกาต์
  • ผู้ชายช่วงอายุ 30 – 50 ปี หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการขับกรดยูริกในร่างกาย
  • ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ฯลฯ
  • ผู้ที่มีโรคร่วมบางชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดและกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์ได้เช่นกัน
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 

โรคเกาต์ ไม่ใช่แค่ปวดข้อแต่อาจเสี่ยงโรคร้าย

โรคเกาต์อาการเป็นอย่างไร

โรคเกาต์มักเริ่มด้วยอาการปวดข้อเฉียบพลัน โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ข้อที่ปวดมักบวม แดง ร้อน และกดเจ็บมาก โดยส่วนใหญ่จะเริ่มที่ข้อเดียว เช่น โคนนิ้วหัวแม่เท้าหรือข้อเท้า อาการปวดอาจรุนแรงจนเดินลำบากและไม่สามารถลงน้ำหนักได้ อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอาจกลายเป็นโรคข้อเรื้อรังได้ นอกจากนี้ในบางรายอาจพบโทฟัส” (Tophi) ซึ่งเป็นก้อนยูริกสะสมใต้ผิวหนัง

ตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์อย่างไร

การตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์ใช้หลายองค์ประกอบร่วมกัน เช่น

  • ซักประวัติและตรวจร่างกาย
  • ตรวจเลือดวัดระดับกรดยูริก (>6.8 mg/dL)
  • การเจาะน้ำในข้อเพื่อดูผลึกของกรดยูริก (Monosodium Urate Crystals) ใต้กล้องจุลทรรศน์
  • การตรวจ X-ray, Ultrasound หรือการทำ DECT ข้อกรณีสงสัยผลึกเกาต์สะสม

โรคเกาต์ ไม่ใช่แค่ปวดข้อแต่อาจเสี่ยงโรคร้าย

แนวทางการรักษาโรคเกาต์

  • ระยะเฉียบพลัน แพทย์ทำการรักษาโดย
    • ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
    • ยาแก้ปวดเกาต์ Colchicine
    • ยาสเตียรอยด์ (ในกรณีที่มีข้อห้ามใช้ยากลุ่มอื่น)
  • ระยะควบคุมโรค แพทย์ทำการรักษาโดย
    • ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat
    • ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด
    • ตรวจเลือดติดตามระดับกรดยูริกอย่างสม่ำเสมอ
  • การดูแลตนเอง (Self – Care)
    • ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น
    • งดดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เพราะมีผลต่อการขับกรดยูริกของร่างกาย
    • ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตรช่วยลดการสะสมของกรดยูริก
    • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
    • ตรวจเลือดเพื่อติดตามระดับกรดยูริกเป็นระยะ ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษาโรคเกาต์ที่ไหนดี

คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การตรวจประเมิน วินิจฉัย ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่ถูกต้อง ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

แพทย์ที่ชำนาญการรักษา

พญ.ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง

ข้อมูลโดย

Doctor Image

พญ. ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม

พญ. ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม
Doctor profileDoctor profile

สอบถามเพิ่มเติมที่

คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม

ชั้น 5 อาคาร C

เปิดบริการทุกวัน 08.00 - 16.00 น.