หลายคนมักเข้าใจว่า “เกาต์” เป็นโรคข้อธรรมดา แค่มีอาการปวดบวม แต่ในความเป็นจริงเกาต์ไม่ใช่แค่ปวดข้อ แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพในระยะยาว หากปล่อยไว้นานโดยไม่ควบคุมระดับกรดยูริกให้ดี อาจนำไปสู่โรคร้ายแทรกซ้อน อย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และโรคไตเรื้อรัง
โรคเกาต์คืออะไร
โรคเกาต์ คือ โรคข้ออักเสบที่เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นระยะเวลานานจนตกผลึกสะสมในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน ปวดบวมรุนแรง สามารถรักษาได้และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้ ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลอย่างเหมาะสม
ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยของโรคเกาต์
- พันธุกรรมหรือมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเกาต์
- ผู้ชายช่วงอายุ 30 – 50 ปี หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการขับกรดยูริกในร่างกาย
- ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ฯลฯ
- ผู้ที่มีโรคร่วมบางชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดและกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์ได้เช่นกัน
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

โรคเกาต์อาการเป็นอย่างไร
โรคเกาต์มักเริ่มด้วยอาการปวดข้อเฉียบพลัน โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ข้อที่ปวดมักบวม แดง ร้อน และกดเจ็บมาก โดยส่วนใหญ่จะเริ่มที่ข้อเดียว เช่น โคนนิ้วหัวแม่เท้าหรือข้อเท้า อาการปวดอาจรุนแรงจนเดินลำบากและไม่สามารถลงน้ำหนักได้ อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอาจกลายเป็นโรคข้อเรื้อรังได้ นอกจากนี้ในบางรายอาจพบ “โทฟัส” (Tophi) ซึ่งเป็นก้อนยูริกสะสมใต้ผิวหนัง
ตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์อย่างไร
การตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์ใช้หลายองค์ประกอบร่วมกัน เช่น
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ตรวจเลือดวัดระดับกรดยูริก (>6.8 mg/dL)
- การเจาะน้ำในข้อเพื่อดูผลึกของกรดยูริก (Monosodium Urate Crystals) ใต้กล้องจุลทรรศน์
- การตรวจ X-ray, Ultrasound หรือการทำ DECT ข้อกรณีสงสัยผลึกเกาต์สะสม

แนวทางการรักษาโรคเกาต์
- ระยะเฉียบพลัน แพทย์ทำการรักษาโดย
- ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
- ยาแก้ปวดเกาต์ Colchicine
- ยาสเตียรอยด์ (ในกรณีที่มีข้อห้ามใช้ยากลุ่มอื่น)
- ระยะควบคุมโรค แพทย์ทำการรักษาโดย
- ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat
- ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด
- ตรวจเลือดติดตามระดับกรดยูริกอย่างสม่ำเสมอ
- การดูแลตนเอง (Self – Care)
- ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น
- งดดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เพราะมีผลต่อการขับกรดยูริกของร่างกาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตรช่วยลดการสะสมของกรดยูริก
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
- ตรวจเลือดเพื่อติดตามระดับกรดยูริกเป็นระยะ ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษาโรคเกาต์ที่ไหนดี
คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การตรวจประเมิน วินิจฉัย ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเกาต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่ถูกต้อง ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แพทย์ที่ชำนาญการรักษา
พญ.ทิพสุคนธ์ สถาปนศิริ อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม คลินิกโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง








