- มะเร็งตับ (โดยเฉพาะมะเร็งเซลล์ตับ) เป็นโรคที่หลายคนมองข้าม เพราะในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ตรวจหรือรักษา อาจลุกลามและส่งผลเสียต่อชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
- ข้อมูลสถิติระดับชาติจาก GLOBOCAN และสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า มะเร็งตับเป็นปัญหาสำคัญในไทย โดยประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของมะเร็งตับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากมะเร็งชนิดนี้
- หากสงสัยว่าเป็นมะเร็งตับควรพบแพทย์ผู้ชำนาญการอาทิแพทย์ระบบทางเดินอาหารแพทย์โรคตับศัลยแพทย์ตับแพทย์รังสีร่วมรักษาแพทย์มะเร็งวิทยา
- ถ้าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีทีมแพทย์สหสาขาเพื่อให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
มะเร็งตับ

สารบัญ
ข้อเท็จจริงของมะเร็งตับ
อาการมะเร็งตับ
ตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับ
ปัจจัยการรักษามะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับ
ป้องกันมะเร็งตับ
โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษามะเร็งตับที่ไหนดี
แพทย์ที่ชำนาญการรักษามะเร็งตับ
ดูทั้งหมด
อาการมะเร็งตับ
เมื่อก้อนมะเร็งในตับมีขนาดใหญ่ขึ้นมักทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- ปวดหรือแน่นบริเวณชายโครงขวา หากก้อนอยู่ที่กลีบซ้ายอาจรู้สึกเจ็บลิ้นปี่ รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องอืด อาหารไม่ย่อย จากการที่ตับสร้างน้ำดีได้ลดลง
- ท้องโตแน่นตึง หรือคลำพบก้อนใต้ชายโครง หากก้อนมีขนาดค่อนข้างใหญ่
- ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน) ซึ่งมักพบเมื่อโรคลุกลามมากขึ้น
อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคตับแข็งเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่มะเร็งเสมอไป หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เฉพาะทาง เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกช่วยเพิ่มโอกาสรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับ
1) การตรวจคัดกรอง (Screening) เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น
- ไวรัสตับอักเสบเรื้อรังชนิด B หรือ C
- โรคตับเรื้อรังจากสาเหตุต่าง ๆ
- มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
- กลุ่มอาการผิดปกติทางเมตาบอลิก เช่น ไขมันพอกตับ, เบาหวาน, โรคอ้วน
การตรวจประกอบด้วย
- อัลตราซาวนด์ช่องท้อง เพื่อตรวจลักษณะตับและค้นหาก้อนเนื้อ
- ตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP (Alphafetoprotein), PIVKA-II ซึ่งอาจสูงขึ้นในมะเร็งตับบางราย
แนะนำให้ตรวจทุก 6 เดือน เพื่อเพิ่มโอกาสพบก้อนในระยะแรก
2) การตรวจเมื่อสงสัยว่ามีอาการของมะเร็งตับ
เริ่มจาก
- อัลตราซาวนด์
- ตรวจเลือดค่าการทำงานของตับรวมถึงสารบ่งชี้มะเร็งตับ
หากพบความผิดปกติจะตรวจเพิ่มเติมด้วย
- CT Scan แบบฉีดสารทึบรังสี
- MRI ตับเฉพาะทาง (MRI liver with liver specific agent) ซึ่งให้ความละเอียดสูง สามารถตรวจขนาด ตำแหน่ง จำนวนก้อน การลุกลามไปเส้นเลือด หรือการกระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ปอด กระดูก
ในบางรายอาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น
- เอกซเรย์ปอด
- สแกนกระดูก
3) การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy)
หากภาพถ่ายรังสีไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน แพทย์จะทำการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อตรวจยืนยันชนิดของเซลล์มะเร็ง
การรักษามะเร็งตับ
1) การผ่าตัดรักษามะเร็งตับ เหมาะสำหรับผู้ที่
- ไม่มีตับแข็งหรือมีน้อย
- ก้อนเนื้อไม่ใหญ่ ไม่มีรุกล้ำเส้นเลือด
- ไม่มีมะเร็งแพร่กระจายไปนอกตับ
- ต้องประเมินทั้งความเสี่ยงการผ่าตัดและสภาพตับที่เหลือว่าจะเพียงพอต่อการทำงานได้ปกติหลังผ่าตัดหรือไม่
2) การรักษาด้วยความร้อน (Ablation) – RF/MWA ใช้ในผู้ป่วยที่
- ไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัด
- มีก้อนขนาดไม่เกิน 3 – 4 เซนติเมตร จำนวนไม่เกิน 3 ก้อน
- ไม่มีการรุกล้ำเส้นเลือด
- ไม่มีมะเร็งแพร่กระจายไปนอกตับ
การสอดเข็มเล็กลงตำแหน่งก้อนโดยใช้ CT หรืออัลตราซาวนด์นำทางเพื่อเข้าทำลายก้อนโดยตรง
ข้อดีคือ
- ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่
- ฟื้นตัวไว นอนโรงพยาบาลเพียง 1 – 2 วัน
- ผลข้างเคียงน้อย
3) การรักษาผ่านหลอดเลือด (Catheter – Based Therapy)
TACE (Transarterial Chemoembolization)
เป็นการให้ยาเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านสายสวนหลอดเลือดเข้าสู่ก้อนโดยตรง พร้อมอุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อน ทำให้ก้อนฝ่อตัวลง เหมาะสำหรับ
- ก้อนขนาดใหญ่หรือมีหลายตำแหน่ง
- ไม่สามารถผ่าตัดหรือทำ Ablation ได้
- ไม่มีการลุกลามไปนอกตับหรืออุดกั้นในหลอดเลือดดำหลักของตับ
หลังทำอาจมีไข้ ปวดตื้อ ๆ ในช่องท้อง คลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย หรือเบื่ออาหาร ซึ่งมักหายภายใน 1 สัปดาห์ การรักษาแบบ TACE ส่วนมากทำทุก 4 สัปดาห์ จนสามารถควบคุมเซลล์มะเร็งได้ หรือทำตามความจำเป็นเมื่อต้องการควบคุมอาการในผู้ป่วยบางราย
TARE หรือ Radioembolization (SIRT)
ใช้สารกัมมันตภาพรังสีชนิด Yttrium-90 ส่งเข้าไปยังเส้นเลือดที่เลี้ยงก้อน เหมาะสำหรับ
- ก้อนขนาดใหญ่
- มีมะเร็งลุกลามเข้าเส้นเลือดดำของตับเพียงบางส่วน
- ผู้ป่วยยังมีการทำงานของตับดีพอสมควร
มีการให้รังสีเฉพาะบริเวณก้อนโดยตรง ผลข้างเคียงมักน้อยกว่าการให้ยาเคมีบำบดผ่านหลอดเลือดและใช้จำนวนครั้งของการรักษาน้อยกว่า
4) การใช้ยาแบบระบบ (Systemic Therapy)
ตามแนวทางปัจจุบัน (ในปี 2024 – 20254) มีการใช้
- ยากลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เช่น Atezolizumab + Bevacizumab
- ยาระงับสัญญาณการเติบโตของมะเร็ง เช่น Sorafenib, Lenvatinib
- การรักษาแบบผสมผสานขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์และระยะของโรค
ยาเหล่านี้ช่วยควบคุมโรคในผู้ป่วยที่ไม่สามารถให้การรักษาแบบเฉพาะที่ได้
ป้องกันมะเร็งตับ
สามารถลดความเสี่ยงมะเร็งตับด้วยการดูแลสุขภาพ ดังนี้
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันมะเร็งตับที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HBV
- การจัดการไวรัสตับอักเสบ ตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV) และรับการรักษาอย่างทันท่วงทีหากพบการติดเชื้อ
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ได้แก่
- รักษาน้ำหนักตัวและโภชนาการให้เหมาะสม
- จำกัดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่อาจไม่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่ง
- เลี่ยงอาหารที่เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อราและอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่วลิสง ข้าวเปลือกเก็บไว้นาน ผลไม้แห้ง อาหารแห้งบางประเภท เมล็ดฝ้าย เป็นต้น
- หากเป็นกลุ่มเสี่ยงควรตรวจอัลตราซาวนด์และ AFP ทุก 6 เดือนตามคำแนะนำของแพทย์
โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษามะเร็งตับที่ไหนดี
ศูนย์อายุรกรรมมะเร็ง โรงพยาบาลวัฒโนสถ Cancer Hospital พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีทันสมัย แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ พร้อมให้การตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล ตลอดจนมีทีมสหสาขาคอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
แพทย์ที่ชำนาญการรักษามะเร็งตับ
พญ.ณัฐพร ด่านภักดีกุล รังสีแพทย์ โรงพยาบาลวัฒโนสถ Cancer Hospital
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง











