ภัยร้ายหน้าฝนไวรัส RSV คืออะไร

3 นาทีในการอ่าน
ภัยร้ายหน้าฝนไวรัส RSV คืออะไร
โรงพยาบาลกรุงเทพตราด

ภัยร้ายหน้าฝนไวรัส RSV คืออะไร

ไวรัส RSV

“เชื้อไวรัส” เป็นจุลินทรีย์ตัวเล็ก ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดโรคในคนได้ตั้งแต่อาการไม่รุนแรงจนถึงขั้นรุนแรงได้ หากว่าภูมิต้านทานของเราอ่อนแอ ไวรัสที่เป็นต้นเหตุระบาดในช่วงหน้าฝน ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ทั้งสายพันธุ์ A, B, และไข้หวัดใหญ่2009 ที่มีประปราย แต่ในปีนี้พระเอกที่มาแรงคือการระบาดของไวรัสที่ชื่อเล่น ๆ ว่าRSV หรือชื่อเต็มหล่อ ๆว่า Respiratory Syncytial Virus

ร่างกายได้รับไวรัส RSV ได้อย่างไร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไวรัสชนิดนี้จะพบมากและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ไวรัส RSV ติดต่อกันได้ง่ายๆ เพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูก และทางลมหายใจ ดังนั้นในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นหวัดจึงเสี่ยงต่อการรับและแพร่กระจายเชื้อไวรัสนี้มาก และเด็กเล็กสามารถได้รับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียว โดยเชื้อ ไวรัส RSV มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 6 วัน

ไวรัส RSV ทำให้เกิดอาการอย่างไร

RSV ก่อโรคในทางเดินหายใจแบ่งอาการเป็น 3 กลุ่มคือ

  1. ทางเดินหายใจส่วนต้นอักเสบ ทำให้มีอาการคล้ายหวัด มีไข้ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คออักเสบ
  2. ทางเดินหายใจส่วนล่างอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ ซึ่งมักเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ในบางรายมีอาการรุนแรง ไข้สูง หอบเหนื่อย ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัส RSV ตั้งแต่ 40–90 % รวมไปถึงปอดบวมอาการรุนแรงมากในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
  3.  กลุ่มอาการตายเฉียบพลันในทารก (Sudden Infant Death Syndrome, SIDS) พบการตายโดยไม่ทราบสาเหตุแต่สงสัยว่าไวรัส RSV อาจมีส่วนร่วมด้วย

อาการแสดงที่พบบ่อยและเป็นเหตุให้มาโรงพยาบาล

การติดเชื้อ RSV อาจทำให้มีหรือมีอาการแสดงดังนี้

  • ตัวลายเขียว จากการขาดออกซิเจน
  • หายใจลำบาก เหนื่อย
  • ไอมาก จน เหนื่อย
  • ไอโคลกคล้ายเสียงหมาเห่า (Croupy Cough , Often Described as a “seal bark” cough)
  • ไข้
  • ปีกจมูกบานเวลาหายใจ
  • หายใจตื้นเร็ว สั้น ดูเหนื่อย แน่นจมูก หายใจมีเสียงวิ๊ด

รุนแรงมากน้อยแค่ไหน

บางรายมีอาการรุนแรง ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล หรือมีอาการรุนแรงมากจนเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลวต้องใส่ท่อหลอดลมและเครื่องช่วยหายใจให้ยาขยายหลอดลม เคาะปอดระบายเสมหะช่วย การรักษาที่ไม่ทันการณ์อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่มักพบบ่อยได้แก่ หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดชื้น (Bronchiolitis) ไอแบบครู๊ฟ (Croup) ติดเชื้อในหูชั้นกลาง ภาวะหายใจวาย ปอดอักเสบ (Pneumonia) และมีแนวโน้มว่าเมื่อหายจากการติดเชื้อนี้ โอกาสที่จะกลายเป็นโรคหอบหืด (Asthma) มีสูงทีเดียว

ต่างจากหวัดธรรมดา

เด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการเป็นแบบหวัด มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินน้ำกินนมได้ อาจกล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ซึ่งจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV คืออาการหอบ เหนื่อย บางคนหอบมากจนเป็นโรคปอดบวมหายใจหอบจนอกบุ๋ม หายใจแรงจนหน้าอกโป่ง หายใจออกลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ดแบบหลอดลมฝอยอักเสบ บางรายไอมากจนอาเจียน ซึมลง ตัวเขียว กินข้าว กินน้ำกินนมไม่ได้

รักษาอย่างไร

ตอนนี้ไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกัน ไวรัส RSV รวมถึงไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อเด็กได้รับไวรัสนี้จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ระวังการขาดน้ำเพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นและเชื้อลงปอด อาจต้องใช้ยาพ่นร่วมกับ oxygen เพื่อช่วยขยายหลอดลม รับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4 – 6 ชั่วโมงพร้อมกับเช็ดตัวลดไข้ นอนพักผ่อนเยอะๆ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วัน จึงจะหาย แต่หลังจากหายแล้ว หลอดลมและถุงลมฝอยของเด็กจะมีอาการอักเสบได้ง่ายเมื่อติดเชื้อครั้งใหม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษทั้งเรื่องอาหารและการออกกำลังกายในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง

การป้องกันที่จะฝากไว้

โรคนี้ต้องบอกว่าป้องกันง่ายครับ ขึ้นกับว่าเราจะเคร่งครัดในการปฏิบัติกันหรือไม่เท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องดูแลเด็กเป็นประจำมี Step ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อในการป้องกัน

  1. หมั่นล้างมือด้วยน้ำสบู่ทุกครั้งก่อนจับหรือเลี้ยงดูเด็ก
  2. หลีกเลี่ยงสัมผัสเด็กที่สงสัยว่าเป็นหวัด หรือใส่หน้ากากอนามัย ป้องกันหากสัมผัส
  3. หลีกเลี่ยงการจูบการหอมเด็ก เพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อ RSV โดยไม่รู้ตัว
  4. นำพาบุตรหลานห่างจากผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. ไม่สูบบุหรี่ในบ้าน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV สูงขึ้น
  6. พ่อแม่ ควรรระวังไม่นำบุตรหลานออกไปในที่ชุมชน คนเยอะ ๆ หากพบข่าวว่ามีการระบาดใหญ่ ๆ เป็นระรอก

 

สอบถามเพิ่มเติมที่

แผนกกุมารเวชกรรม

ชั้น 1 โรงพยาบาลกรุงเทพตราด