โรคภูมิแพ้

3 นาทีในการอ่าน
โรคภูมิแพ้
โรงพยาบาลกรุงเทพ สนามจันทร์

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยที่ร่างกายจะมีปฏิกิริยาไวต่อสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ โดยแสดงอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย เช่น
ระบบทางเดินหายใจ มีอาการจาม มีน้ำมูก คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหลลงคอ คันระคายเคืองตา หูอื้อ ไอ หายใจหอบ ไอมากตอนกลางคืน ไอหลังออกกำลังกาย หายใจมีเสียงวี้ด นอนกรน มีเลือดกำเดาไหลบ่อย
ระบบผิวหนัง เช่น หน้าบวม ผื่นลมพิษเป็นๆ หายๆ ผิวหนังแห้งคัน
ระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด
หากบางรายมีอาการแพ้มาก อาจมีอาการได้หลายระบบพร้อมกัน ซึ่งส่งผลให้ มีอาการปวดศีรษะ นอนหลับไม่สนิท อ่อนเพลีย อาการต่างๆ ดังกล่าวเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันได้


สาเหตุ ของโรคภูมิแพ้เกิดได้จากทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรม – ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ จะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30-50 แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50-70 ส่วนเด็กที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัวเลย มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงร้อยละ 10

สิ่งแวดล้อม -เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญ เพราะสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายของเรา เกิดจากสภาพแวดล้อมซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การหายใจ การรับประทานอาหาร หรือการสัมผัสสารต่างๆ สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ ไรฝุ่น ละอองเกสร วัชพืช ขนสุนัข ขนแมว แมลงสาบ เชื้อรา อาหารบางชนิด เช่น นมวัว ไข่ แป้งสาลี อาหารทะเล นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ ได้แก่ อากาศเปลี่ยน การสัมผัสสารระคายเคือง เช่น ควันธูป ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย มลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5
การวินิจฉัย โรคภูมิแพ้ หากมีอาการสงสัยโรคภูมิแพ้ ควรได้รับการตรวจหาสาเหตุว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ตัวใด เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ ซึงจะช่วยทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้ ช่วยประเมินเบื้องต้นได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้มากน้อยเพียงใดและหายจาการแพ้สารก่อภูมิแพ้นั้นๆหรือยัง และท้ายที่สุดเมื่อรักษาด้วยยาต่างๆเบื้องต้นแล้วยังไม่ดีขึ้นอาจใช้ประกอบการพิจารณารักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้ (Immunotherapy)

การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้
สามารถตรวจได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ
1.การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง (skin prick test)
– สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป

– สะกิดผิวหนังบริเวณบริเวณท้องแขน หรือหลังส่วนบน หลังจากนั้นรอผล 15 นาที หากผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใดจะเกิดปฏิกิริยา นูน บวม แดง บริเวณนั้นๆ

2.การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการเจาะเลือด(Serum Allergen specific lgE) เพื่อหาสารก่อภูมิต้านทานที่จำเพาะกับสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด
การรักษาโรคภูมิแพ้
-หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด) เพราะแม้จะใช้ยารักษาภูมิแพ้แล้ว แต่หากไม่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ก็ยังทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบต่อไปได้
-รักษาด้วยยาเพื่อบรรเทาและควบคุมอาการ มีทั้งยาชนิดรับประทานและชนิดพ่น ขึ้นกับลักษณะอาการของผู้ป่วย แต่ถ้าใช้การรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จะให้การรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้(Immunotherapy) โดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้(จะเลือกฉีดเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ทดสอบแล้วพบว่าแพ้) เข้าไปทีละนิด และเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา จนถึงระดับที่ป้องกันได้แล้วจึงหยุดฉีด ทั้งนี้เมื่อหยุดฉีดแล้วโรคภูมิแพ้ในบางคนอาจดีขึ้นหรือหายไป แต่ในบางรายอาจกลับมาเป็นได้อีก การรักษาด้วยวิธีนี้ให้ได้ผลดี ผู้ป่วยจะต้องได้รับการฉีดอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 3-5 ปี
วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้
-หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ
-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานให้ครบ5หมู่
-หากอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ได้
แม้ว่า โรคภูมิแพ้ บางชนิดจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถควบคุมโรคไม่ให้มีอาการหรือมีอาการน้อยที่สุดได้ เพราะฉะนั้นหากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ ควรตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ศูนย์สุขภาพเด็ก โทร 034-219600 ต่อ 8200 -8202

ข้อมูลสุขภาพโดย
โดย พญ. วรรษมน ภัทรพงศ์ดิลก
กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน

 

 

สอบถามเพิ่มเติมที่