คลินิกสูติ–นรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์ มุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ผู้หญิงทุกคนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เราเข้าใจและตระหนักถึงความต้องการของผู้หญิงแต่ละบุคคลในแต่ละช่วงวัย จึงพร้อมให้บริการดูแลสุภาพสตรีแบบเฉพาะบุคคลอย่างครอบคลุม ตั้งแต่โรคที่พบบ่อยๆไปจนถึงโรคที่มีความรุนแรงหรือซับซ้อน ตั้งแต่การป้องกัน การวินิจฉัยและการรักษาโรคทุกชนิดของสตรี ด้วยทีมแพทย์สหสาขาครบทุกศาสตร์ ทั้งการดูแลปัญหาทางสูตินรีเวช เช่น ประจำเดือนผิดปกติ ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมามาก ตกขาวผิดปกติ ภาวะมีบุตรยาก ปัญหาทางเพศ ปัญหาของสตรีวัยหมดระดู การวางแผนครอบครัว การเตรียมความพร้อมสำหรับการมีบุตร การฝากครรภ์ การคลอด และการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ ตลอดจนถึงการตรวจคัดกรอง และการป้องกันมะเร็งปากมดลูก รวมถึงการรักษาโรคทางนรีเวช ทั้งการใช้ยาและการผ่าตัด โดยสูตินรีแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ และทีมพยาบาลวิชาชีพที่พร้อมให้คำปรึกษา รวมไปถึงเทคโนโลยีในการวินิจฉัยและรักษาที่ทันสมัย
โดยแบ่งการบริการออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ สูติศาสตร์ และนรีเวชวิทยา
แผนกสูติศาสตร์
เพราะการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์ นอกจากได้รับการดูแลโดยสูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างใกล้ชิดรวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือทันสมัย ยังมีการอบรมครรภ์คุณภาพที่สอนเทคนิคการดูแลตนเองให้กับคุณแม่ตลอดการตั้งครรภ์ อีกทั้งมีบริการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมเพื่อสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ (Non-invasive Prenatal Testing หรือ NIPT) การตรวจคัดกรองความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ และความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและดูแลได้อย่างเหมาะสม
การรักษาและเทคโนโลยี
1) ดูแลการฝากครรภ์

ทีมสูตินรีแพทย์ประสบการณ์สูงในการดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ ทั้งครรภ์ปกติและครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยมีแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (Maternal Fetal Medicine หรือ MFM) วางแผนร่วมกัน เพื่อลดความเสี่ยงและลดภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์และการคลอด เพื่อให้คุณแม่และเจ้าตัวน้อยแข็งแรงปลอดภัย อีกทั้งยังมีพยาบาลนมแม่คอยแนะนำการให้นมบุตร สอนแก้ปัญหาในการให้นมบุตร และช่วยเหลือไปจนกระทั่งคุณแม่ให้นมทารกสำเร็จ
2) อบรมการเตรียมตัวก่อนคลอด

3)ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทางเลือกในการคลอด
ทั้งการคลอดธรรมชาติ การผ่าตัดคลอด รวมถึงการทำหมัน

คลอดธรรมชาติ
เป็นการคลอดตามธรรมชาติที่คุณแม่เบ่งคลอดเองทางช่องคลอด วิธีนี้เหมาะกับคุณแม่ที่ไม่มีความเสี่ยง มีสุขภาพที่สมบูรณ์ และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยในขณะตั้งครรภ์
ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ
- ลูกในครรภ์จะได้ภูมิคุ้มกันจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดของคุณแม่ หรือได้รับ Probiotic มากกว่าการผ่าคลอด
- สามารถให้นมลูกได้ทันทีหลังคลอด
- โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดน้อยกว่า
- ลดโอกาสที่จะเกิดภาวะรกเกาะต่ำ รกติดแน่นในท้อง
- ไม่เกิดพังผืดในช่องท้อง
- หลังคลอด คุณแม่เจ็บแผลน้อยกว่าการผ่าคลอด
- หลังคลอด คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องตัว
การผ่าตัดคลอด
เป็นการคลอดด้วยการผ่าตัดทางหน้าท้อง โดยปกติแล้วการผ่าคลอดจะเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติได้ เช่น มีโรคประจำตัว ทารกอยู่ในท่าที่ไม่พร้อมสำหรับการคลอด หรือในกรณีที่ต้องผ่าคลอดแบบฉุกเฉิน
ข้อดีของการผ่าคลอด
- ลดการเจ็บท้องขณะคลอด เนื่องจากแพทย์ได้มีการวางยาสลบหรือบล็อกหลัง
- ลดการยืดหย่อนของเชิงกราน เนื่องจากไม่ต้องใช้แรงเบ่งเหมือนการคลอดธรรมชาติ
- ไม่ต้องรอให้เจ็บครรภ์คลอดเองเหมือนกับการคลอดธรรมชาติ
- สามารถทำหมันได้เลยหลังจากคลอดเสร็จ
- สามารถกำหนดวันหรือเวลาในการคลอดได้แน่นอน

4) การดูแลมารดาภาวะครรภ์เสี่ยง ( High Risk Pregnancy)

สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ให้การดูแลมารดาที่มีภาวะครรภ์เสี่ยงแทรกซ้อนทางอายุรกรรม เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต ครรภ์เป็นพิษ โรคเบาหวาน โรคหัวใจมารดา มีประวัติเคยคลอดบุตรก่อนกำหนด มีประวัติเคยคลอดบุตรน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ และภาวะเสี่ยงอื่นๆ โดยร่วมกับกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิดที่พร้อมให้คำปรึกษา,อายุรแพทย์สาขาต่างๆ
5) ตรวจวิเคราะห์เกี่ยวกับพันธุกรรมเพื่อหาโรคและความผิดปกติของทารก

ตรวจความเสี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์และดูแลการตั้งครรภ์ของมารดาที่มีภาวะครรภ์เสี่ยง
6) มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการดูแลขณะตั้งครรภ์และคลอดบุตร เช่น

เครื่องอัลตราซาวนด์คุณภาพสูง เพื่อหาความผิดปกติของทารก ตลอดจนการติดตามดูการเจริญเติบโตของทารก คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะได้ทำการตรวจด้วยการตรวจคลื่นเสียงอย่างน้อย 2 ครั้งและอาจตรวจอัลตราซาวนด์ 4 มิติเพื่อดูรูปร่างหน้าตาทารกในครรภ์ระยะ 30-32 สัปดาห์ สามารถดูต่อเนื่องเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ได้ข้อมูลที่แม่นยำขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการแปลผลชัดเจนขึ้น
7) ห้องคลอดมาตรฐานสะอาด เป็นส่วนตัวของโรงพยาบาลกรุงเทพ
เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ยังมีกุมารแพทย์ทารกแรกเกิด คอยให้การดูแลในทุกรายละเอียดที่สำคัญ ภายในห้องคลอดมีเตียงสำหรับคลอดที่ปรับระดับได้ โดยมีแพทย์และพยาบาลผู้ชำนาญการเฉพาะทางคอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
8) หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ(NICU)
ทีมแพทย์และพยาบาลที่ชำนาญดูแลการคลอดอย่างราบรื่น พร้อมดูแลหากเกิดวิกฤติตลอด 24 ชั่วโมง
9) พยาบาลนมแม่ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
ช่วยให้คุณแม่ให้นมได้ถูกวิธี มีการนวดกระตุ้นเปิดท่อน้ำนมคุณแม่ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ สอนการอุ้มลูกและการเอาลูกเข้าเต้า ดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้คุณแม่หมดกังวล
10) พยาบาลวิชาชีพ ของคลินิคที่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง พร้อมให้บริการให้คำปรึกษาเตรียมพร้อมในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาเต้านมตั้งแต่คุณแม่ยังไม่คลอดบุตร
- ให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณแม่เพื่อฝึกทักษะการให้นมแม่อย่างถูกต้อง
- ให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณแม่ที่มีปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่น เต้านมคิด เต้านมอักเสบ หัวนมเจ็บ ท่อน้ำนมอุดตัน ลูกไม่ยอมดูดนมแม่สับสนหัวนม น้ำนมน้อย น้ำนมไม่พอ
- บริการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
11) ห้องพักหลังคลอด
มีความทันสมัย เป็นส่วนตัว แบ่งเป็นสัดส่วนที่สะดวกต่อการใช้งาน ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน สามารถเลือกได้ตามความต้องการ พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารที่หลากหลาย โดยมีพยาบาลคอยดูแลและให้คำแนะนำตลอดเวลา เพื่อให้ช่วงเวลาของครอบครัวเป็นเวลาที่มีคุณภาพและเต็มไปด้วยความสุข

12) นักโภชนาการและอาหารเพื่อคุณแม่หลังคลอด
มีทีมนักโภชนาการแนะนำรายการอาหารที่เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด ทั้งอาหารมื้อหลักและอาหารว่าง เพื่อให้คุณแม่ได้รับ สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน น้ำนมแม่เพียงพอและมีคุณภาพ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและสร้างภูมิต้านทานให้เจ้าตัวเล็ก


13) นักกายภาพบำบัดนวดผ่อนคลายคุณแม่หลังคลอดและนวดเปิดท่อน้ำนมและอัลตราซาวนด์
- ช่วยลดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด บรรเทาความเครียดให้คุณแม่ ซึ่งต้องนวดกับนักกายภาพบำบัดที่มีความชำนาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
- ท่อน้ำนมอุดตันและเต้านมอักเสบ สามารถรักษาด้วยการนวดเปิดท่อน้ำนมและอัลตราซาวนด์โดยนักกายภาพบำบัดได้
วิธีการนวดเปิดท่อน้ำนมและอัลตราซาวนด์โดยนักกายภาพบำบัดได้
- ประคบอุ่นด้วยแผ่นประคบร้อน ( hot pack)
- อัลตราซาวนด์เปิดท่อน้ำนม โดยการนำคลื่นเสียงมาใช้ในรูปแบบความร้อนลึก ซึ่งความร้อนจะลงได้ลึกกว่าการใช้ แผ่นประคบร้อน
- นวดเปิดท่อน้ำนมอย่างนุ่มนวล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของระบบน้ำนมและระบบน้ำเหลืองที่เหมาะสม ให้น้ำนมมีทางออก ขณะที่นวดจะมีความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
14) ฟื้นฟูผิวคุณแม่หลังคลอดให้สวย
ด้วยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังที่พร้อมดูแลผิวหน้าคุณแม่หลังคลอดให้อ่อนเยาว์ ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูดี สดใสเปล่งปลั่ง

แผนกนรีเวชวิทยา
แผนกนรีเวชวิทยา พร้อมให้บริการดูแลโรคทางนรีเวชวิทยาทุกช่วงวัย ตั้งแต่การตรวจสุขภาพ การวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาโรคนรีเวช เรามีความพร้อมในการให้บริการวินิจฉัย รักษาโรคยาก และโรคซับซ้อน ด้วยความทุ่มเทของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง ทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์สูง และเทคโนโลยีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยสำหรับการรักษาที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วย ได้รับความปลอดภัยสูงสุด และสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น
1) การดูแลสุขภาพผู้หญิงแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงวัยตามวงจรการเจริญพันธุ์ (reproductive cycle) คือ วัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์และวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน ในแต่ละช่วงวัยต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เนื่องจากผู้หญิงจะมีพัฒนาการและความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆที่ไม่เหมือนกัน การดูแลสุขภาพให้ดีอย่างยืนยาวเริ่มตั้งแต่การป้องกันก่อนการเกิดโรคโดยการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และการมาพบแพทย์ทันทีที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติ การได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ รวมถึงการติดตามผลการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
- วัยเจริญพันธุ์คือวัยที่ผู้หญิงมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไปจนถึงวัยหมดประจำเดือนหรืออายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี ในช่วงวัยนี้ผู้หญิงเริ่มมีเพศสัมพันธ์และร่างกายสร้างฮอร์โมนเพศหญิงมาได้ระยะหนึ่ง ทำให้มีโอกาสเกิดโรคได้สูงขึ้น
- วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนคือช่วงชีวิตของสตรีที่รังไข่ค่อยๆ หยุดทำงานในด้านการเจริญพันธุ์ ระดับฮอร์โมนเพศจะค่อยๆ ลดต่ำลง เมื่ออายุย่างเข้า 40 ตอนปลาย จะทำให้เกิดอาการต่างๆ กับร่างกายเช่นหงุดหงิด นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น ควรได้รับการปรึกษาดูแลจากแพทย์เพื่อพิจารณาให้การรักษาอย่างถูกต้อง รวมทั้งการตรวจหาความหนาแน่นของมวลกระดูก และความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
ปัจจุบันคนเราแก่ช้าลง เราจึงควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยจากแนวคิดสู่การพัฒนาผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน ( Active Aging Concept ) องค์การอนามัยโลกได้อธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของการเป็น Active Aging 3 ประการคือ การมีสุขภาพดี มีหลักประกันและความมั่นคงในชีวิตที่สมดุลกัน
การส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ ในด้านความสามารถคุณค่า คุณประโยชน์ และศักยภาพในการดำเนินชีวิต
- การส่งเสริมทางด้านร่างกายให้มีความแข็งแรง ( Healthy elderly )
- ความคล่องแคล่วของการเคลื่อนไหว ผ่านการออกกำลังกายง่ายๆไม่หนักจนเกินไป การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง (Longer activity )
- การดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณและสุขภาพเป็นพิเศษ ( Wellness for menopause ) เช่นการรับประทานวิตามินและอาหารเสริม การทำทรีตเมนท์ที่ช่วยเพิ่มสารอุ้มน้ำและคอลลาเจนให้กับผิว การยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย การให้ฮอร์โมนทดแทนในรูปของอาหารเสริมที่มีโครงสร้างทางเคมีเหมือนกับฮอร์โมนที่ร่างกายเราสร้างเองตามธรรมชาติ จึงดูดซึมได้ง่าย มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย แต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น หรือ การเล่นโยคะ จะฝึกร่างกายให้แข็งแรง ช่วยยืดกล้ามเนื้อร่างกายได้เกือบทุกส่วน ลดอาการปวดเมื่อย เพิ่มความผ่อนคลายให้กับร่างกาย
- การตรวจคัดกรองภาวะกระดูกพรุน เพื่อตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก
- การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม (mammogram )และอัลตราซาวนด์ (breast ultrasound)
2) มะเร็งนรีเวช เพราะว่าโรคร้ายเช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่คือภัยเงียบที่มีอัตราการเสียชีวิตต่อปีสูง แผนกนรีเวชวิทยา มีทีมแพทย์ที่มีทักษะและความชำนาญทั้งในการตรวจคัดกรอง และรักษามะเร็งทางนรีเวช และพร้อมที่จะประสานงานกับทีมแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งหลากหลายสาขา เพื่อทำการรักษาแบบองค์รวม
- ฉีดวัคซีน HPV หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกคือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) อันเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส HPV ทำให้เซลล์ปากมดลูกอักเสบเรื้อรังและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้
ฉีดวัคซีน HPV แบบไหนดีที่สุด
- ประสิทธิภาพวัคซีนสูง หากฉีดในวัยที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
- ฉีดในวัยที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี จากงานวิจัยพบว่า ร่างกายของเด็กผู้หญิงสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้ได้ดีในช่วง 9 – 15 ปี ซึ่งสามารถฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้ง แต่ได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าการฉีด 3 ครั้ง
- ผู้หญิงอายุ 9 – 26 ปี ควรฉีดวัคซีน HPV โดยเน้นให้ฉีดช่วงอายุ 11 – 12ปี
- เด็กผู้ชายอายุ 9 – 26 ปี สามารถฉีดวัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์เพื่อป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนัก เน้นให้ฉีดช่วงอายุ 11 – 12 ปี
3) นวัตกรรมการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะ เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทางเลือกใหม่จึงถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เซลล์ที่ได้จากน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจหา HPV DNA ซึ่งช่วยแก้ปัญหาสตรีที่กลัวและอายการขึ้นขาหยั่ง และช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้
4) การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear หรือ Pap Test) เป็นวิธีการตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านและถ่างช่องคลอด จากนั้นจะทำการป้ายเซลล์จากมดลูก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
ใครควรตรวจแปปสเมียร์
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ถึงเวลาที่ควรเริ่มตรวจแปปสเมียร์และความถี่ที่ต้องมารับการตรวจ สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำแนวทางการตรวจแปปสเมียร์ดังนี้
- สตรีทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ขึ้นกับว่าเวลาใดถึงก่อน ควรเริ่มทำการตรวจแปปสเมียร์ หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปี
- สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจแปปสเมียร์ทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถตรวจแปปสเมียร์ทุก 3 ปีได้ ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกเช่น มีการ ติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีมารดาที่ใช้ยา diethylstilbestrol ขณะตั้งครรภ์ ต้องทำการตรวจแปปสเมียร์ทุกปี
- สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป หากมีผลการตรวจเป็นปกติ 3 ปีติดต่อกัน ไม่มีผลการตรวจที่ผิดปกติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และไม่มีปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกอาจยกเลิกการตรวจแปปสเมียร์ได้
5) การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช (gynecologic laparoscopic surgery) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคของสตรีโดยใช้วิธีการผ่าตัดแล้วสอดกล้องผ่านเข้าไปในช่องท้อง เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคนรีเวชในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งหมายรวมถึงรังไข่ มดลูก ท่อนำไข่ และบริเวณใกล้เคียง วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมาก และเหมาะสมมากสำหรับผู้ป่วยอายุน้อย และสตรีที่วางแผนมีบุตรในอนาคต อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรูปแบบการผ่าตัดแบบ MIS (Minimally Invasive Surgery) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ช่วยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ลดอาการเจ็บแผล และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย

โรคทางนรีเวชที่ใช้การผ่าตัดผ่านกล้อง
- ถุงน้ำในรังไข่ ซ็อกโกแลตซีสต์ หรือเนื้องอกบางชนิดในรังไข่
- เนื้องอกมดลูก
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ปวดท้องน้อยเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
- ภาวะมีบุตรยาก
- มะเร็งมดลูกบางชนิด
- ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
ประโยชน์ของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช คือแพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของตำแหน่งที่จะทำการผ่าตัดได้ชัดเจนและมีความแม่นยำ เนื่องจากเป็นการดูด้วยกล้องขยายกำลังสูงต่างจากการผ่าตัดแบบเดิมซึ่งเป็นการดูด้วยตาเปล่า ซึ่งจะทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยจะเสียเลือดน้อย และมีอาการปวดแผลน้อยมาก การรักษาด้วยวิธีนี้จะกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในน้อยมาก อีกทั้งลดโอกาสเกิดพังผืดหลังการผ่าตัด และโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ผู้ป่วยจะใช้เวลาพักฟื้นไม่นานและหายเร็วสามารถลุกเดินได้ภายใน 1 วัน จึงไม่กระทบกับการทำงานเพราะไม่ต้องลางานนาน และที่สำคัญการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชสามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางนรีเวชได้หลากหลายมากกว่าเดิม
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดแบบผ่านกล้องมีอะไรบ้าง ?
เพื่อให้การผ่าตัดแบบผ่านกล้องทางนรีเวช ประสบความสำเร็จในการผ่าตัด ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นในระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการ แพทย์จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวผู้รับบริการให้มีความพร้อมก่อนการผ่าตัด ซึ่งการเตรียมตัวผู้รับบริการให้พร้อมก่อนการผ่าตัดแบบผ่านกล้องมีดังนี้
- แพทย์จะสอบถามประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่นการเจาะเลือด นอกจากนั้นจะมีการเอ็กซเรย์ที่ปอด บางรายอาจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมินภาวะสุขภาพพื้นฐานของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด ว่ามีความเสี่ยงในการผ่าตัดมากน้อยเพียงใด ถ้าผลการตรวจร่างกาย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีความผิดปกติอาจต้องให้แพทย์เชี่ยวชาญทางด้านอายุรกรรมช่วยดูและประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัด
- ส่งปรึกษาวิสัญญีแพทย์ เพื่อประเมินความพร้อมในการให้ยาระงับความรู้สึกในระหว่างการผ่าตัด
- ต้องงดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- อาจต้องมีการสวนอุจจาระ และโกนขนบริเวณหัวหน่าวก่อนผ่าตัด 2 ชั่วโมง
- หากดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ ต้องงดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- ถ้ารับประทานยาละลายลิ่มเลือด ต้องงดยาก่อนอย่างน้อย 7 วัน
- ถ้าไม่สบายในวันที่ใกล้ผ่าตัด เช่น เป็นหวัดหรือมีอาการผื่นคัน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเพื่อจะได้รักษา อาการที่ไม่สบายก่อนให้หายก่อนเข้ารับการผ่าตัดมดลูก
การประเมินและเตรียมตัวผู้ป่วยให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดทางนรีเวช จะทำให้การผ่าตัด แบบผ่านกล้องของผู้ป่วยประสบผลสำเร็จ สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดมดลูก ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการผ่าตัด ทำให้เกิดความมั่นใจในการรักษาทั้งทีมแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยคลายความกังวล ในวันที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดจริง ทำให้การผ่าตัดเสร็จสิ้นไปด้วยดี Happy ทั้งผู้ป่วยและแพทย์
- ขั้นตอนการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
หลังจากที่ผู้ป่วยดมยาสลบแล้ว กระบวนการและขั้นตอนของการผ่าตัดผ่านกล้อง ก็ไม่ยุ่งยาก แพทย์จะเจาะรูเล็กๆขนาดไม่เกิน 1 ซม. ผนังหน้าท้องของผู้ป่วย เพื่อใส่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ช่องท้องขยายขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นแพทย์จะทำการสอดท่อที่มีไฟฉายและกล้องขนาดเล็กที่สามารถบันทึกภาพอวัยวะภายในของผู้ป่วยอย่างชัดเจนเข้าไปและให้กล้องส่งภาพมายังจอมอนิเตอร์ ซึ่งเมื่อทำเช่นนี้ศัลยแพทย์จะสามารถมองเห็นบริเวณที่มีปัญหาต้องการผ่าตัดได้ชัดเจน ทำให้ผลที่ได้หลังการผ่าตัดมีความเที่ยงตรงและแม่นยำเทียบเท่าหรือดีกว่าการผ่าตัดแบบเดิม
- ข้อจำกัดของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
แพทย์ที่ทำการผ่าตัดผ่านกล้องต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผ่าตัดผ่านกล้องที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนประสบการณ์มาอย่างดีเท่านั้น จึงสามารถทำการผ่าตัดผ่านกล้องได้ การผ่าตัดผ่านกล้องไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย เช่นในกรณีผู้ป่วยที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก อาจจะไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดผ่านกล้องได้ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่นกระบังลมรั่ว โรคปอดหรือโรคหัวใจ และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งบางชนิด ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ก็ไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดผ่านกล้องได้เช่นกัน
6) ส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy)
คือ การใช้เครื่องมือขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร ส่องผ่านปากมดลูก เพื่อดูความผิดปกติบริเวณคอมดลูกจนถึงโพรงมดลูก ข้อดีคือ ทำได้ง่าย ปวดน้อย ปลอดภัย
ใช้วินิจฉัยอาการใดได้บ้าง
- มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก หรือหาสาเหตุเลือดออกผิดปกติที่รักษาไม่หาย
- มีภาวะที่สงสัยว่ามีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก หรือเนื้องอกโพรงมดลูกที่ตรวจจากวิธีอื่น เช่น การตรวจอัลตร้าซาวด์
- คนที่สงสัยว่าอาจจะมีความเสี่ยงมะเร็งโพรงมดลูก เช่น มีภาวะเยื่อบุมดลูกหนาตัว หรือว่ามีเลือดออกผิดปกติในช่วงวัยทอง
- ในผู้ป่วยที่มีบุตรยาก สงสัยว่าเกิดจากภาวะผิดปกติในโพรงมดลูก
หลังการผ่าตัดส่องกล้องโพรงมดลูก จะมีการให้พักสังเกตอาการประมาณ 4 ชั่วโมง หากอาการปกติ สามารถให้กลับบ้านได้เลย อาการที่พบได้ คืออาจจะมีอาการปวดบิด หรือมีเลือดออกจาง ๆ ปนกับน้ำออกมาได้ ประมาณ 3-7 วัน ในระหว่างนี้ ควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแพทย์จะรับรองว่าสามารถทำได้ หากพบว่ามีเลือดออก ทางช่องคลอดปริมาณมาก หรือมีไข้ หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที
เพราะผู้หญิงแต่ละวัยต้องการความละเอียดอ่อนที่แตกต่างกัน เราจึงใส่ใจคัดสรรเทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัยพร้อมดูแลผู้หญิงทุกช่วงวัยเฉพาะบุคคล เช่นคุณ
สอบถามเพิ่มเติมที่
คลินิกสูตินรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์
โทร. 034-219600 ต่อ 2190, 2191 หรือ โทร. 1724



