ศูนย์โรคหัวใจ

ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ (Arrhythmia)

ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ (Arrhythmia) เกิดจากการมีจุดหรือตำแหน่งในหัวใจ เกิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติหรือมีการลัดวงจรของไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งจะมีผลต่อการหมุนเวียนเลือดบริเวณที่เกิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดทำให้มีภาวะเลือดตกค้าง และเกิดลิ่มเลือดขึ้นในช่องหัวใจ โดยลิ่มเลือดนั้นมีโอกาสที่จะหลุดจากหัวใจ ไปตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยส่วนใหญ่มักจะหลุดไปที่สมอง ทำให้เส้นเลือดสมองอุดตันและอาจเกิดภาวะอัมพาตในที่สุด

อาการของภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ได้แก่

  • ใจสั่นหรือหัวใจเต้นแรงผิดปกติ
  • เหนื่อยง่าย
  • วิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
  • แน่นหน้าอกหรือ เจ็บหน้าอก
  • หมดสติเป็นบางครั้ง
  • บางรายอาจไม่มีอาการเลย โดยตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพ

ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่

  • โรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
  • ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ
  • ความเครียดหรือวิตกกังวล
  • การดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติด
  • ความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอาจใช้วิธีต่อไปนี้

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG)
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา (Holter monitor)
  • Wearable device เช่น smart watch
  • การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise stress test)
  • การตรวจคลื่นเสียงหัวใจ (Echocardiogram)
  • การตรวจเลือดหรือตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์
  • การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

การรักษาของ รพ. กรุงเทพระยอง ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของภาวะที่เป็น

  • การใช้ยาเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • การทำหัตถการ เช่น การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (Catheter ablation)

การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

  • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมความเครียด
  • ตรวจสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดหรือไขมันสูง
  • หากมีอาการสงสัยว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม

โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD or Coronary Heart Disease)

เป็นกลุ่มอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ครอบคลุมโรค 3 กลุ่ม ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนไทยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและอุบัติเหตุ

โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary) ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งการมีไขมันอุดตันในหลอดเลือด ในระยะแรกนั้นหลอดเลือดหัวใจจะมีการปรับตัวขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดี แต่หากยังมีไขมันสะสมในผนังหลอดเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่สะดวกและไม่สามารถนำออกซิเจนไปสู่หัวใจได้ ทำให้เกิดอาการปวดเค้นที่บริเวณหัวใจ (Angina) หากการอุดตันหลอดเลือดแดงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน (Heart Attack) จนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากขาดออกซิเจน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ทันที

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่มักไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองมีความผิดปกติหากไม่ปรากฏอาการ โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ปวดเค้นที่บริเวณหัวใจ อาจร้าวไปที่แขน ไหล่ซ้าย ข้อศอก ขากรรไกร หรือไปที่ด้านหลัง และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น ซีด คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เหงื่อออกมาก หมดสติ  ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือด ด้วยยา หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับระดับของอาการของโรค

สาเหตุ / ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

  • พันธุกรรม
  • เพศ
  • อายุ
  • ความดันโลหิตสูง
  • ไขมันในเลือดสูง
  • เบาหวาน
  • สูบบุหรี่
  • ออกกำลังกายน้อย
  • ทานผัก ผลไม้น้อย
  • มีน้ำหนักมาก / อ้วน
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก
  • สภาพจิตใจเชิงลบ เช่น เครียด ซึมเศร้า หดหู่

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ

หนึ่งในวิธีวินิจฉัยที่สำคัญคือ การฉีดสีสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization) โดยการใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือเข้าไปยังหัวใจ เพื่อตรวจสอบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันหรือไม่ตำแหน่งที่นิยมคือ หลอดเลือดแดงที่ขา (Femoral Artery) แต่มีข้อจำกัดเรื่องการพักฟื้น ปัจจุบันนิยมใช้ หลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery) มากขึ้นเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจของโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง

การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Balloon Angioplasty) คือ การดันคราบไขมันที่อุดตันในหลอดเลือดให้กลับไปติดกับผนังหลอดเลือด เพื่อขยายช่องทางการไหลของกระแสเลือดให้ไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่

  • ทานผัก ผลไม้เป็นประจำ
  • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ทำจิตใจให้สดชื่น อย่าเครียดบ่อย

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์โรคหัวใจ

สถานที่ตั้ง :  ชั้น 1 ตึก A
วันเวลาทำการ :  เปิดบริการทุกวัน เวลา 08:00 - 20:00 น.