อาการโรคมะเร็งปอด มีอะไรบ้าง
อาการของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่
- ไอเรื้อรัง อาจมีหรือไม่มีเสมหะก็ได้
- ไอเป็นเลือด
- หอบเหนื่อย หายใจลำบาก เนื่องจากก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้เนื้อที่ปอดสำหรับหายใจเหลือน้อยลง หรือ ก้อนมะเร็งนั้นกดเบียดหลอดลม
- เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
- ปอดอักเสบ มีไข้ แต่อาการเหล่านี้ อาจเกิดจากโรคอื่นๆ ของปอดได้เช่นกัน จึงไม่ใช่อาการของมะเร็งปอดเสมอไป
อาการของระบบอื่นๆ ได้แก่
- เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- บวมที่หน้า แขน คอ และทรวงอกส่วนบนเนื่องจากมีเลือดดำคั่ง
- เสียงแหบ เพราะมะเร็งลุกลามไปยังเส้นประสาทบริเวณกล่องเสียง
- ปวดกระดูก
- กลืนลำบาก เนื่องจากก้อนมะเร็งกดเบียดหลอดอาหาร
- อัมพาต เนื่องจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังสมองหรือไขสันหลัง
- มีตุ่มหรือก้อนขึ้นตามผิวหนัง
- ซึ่งอาการเหล่านี้อาจไม่ใช่โรคมะเร็งปอดเช่นกัน ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นควรได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นด้วย
โรคมะเร็งปอดมีกี่ระยะ
1. การแบ่งระยะมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก มี 2 ระยะ ดังนี้
- ระยะจำกัด (Limited-Stage) เป็นระยะที่มะเร็งพบอยู่ในปอด 1 ข้าง และต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงเท่านั้น
- ระยะลุกลาม (Extensive-Stage) เป็นระยะที่มะเร็งกระจายออกนอกบริเวณช่องทรวงอกข้างนั้น หรือออกจากปอดสู่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
2. การแบ่งระยะของมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก มี 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 เซนติเมตรและยังไม่มีการแพร่กระจาย ไปยังต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร มีการลุกลามไปยังเยื่อหุ้มปอดชั้นนอก และผนังหน้าอกหรือมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ ๆ กับก้อนมะเร็ง
- ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการลุกลามไปยังอวัยวะที่อยู่ข้างเคียง และแพร่กระจายไปที่ปอดกลีบอื่นๆ ในข้างเดียวกันหรือมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่กลางช่องอก หรือไกลออกไปจากช่องอกข้างนั้นๆ
- ระยะที่ 4 มะเร็งที่กระจายออกนอกช่องอกไปยังที่ไกลจากจุดเริ่มต้น และมะเร็งที่กระจายไปที่เยื่อหุ้มปอดหรือแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ ตับ กระดูก ต่อมหมวกไตและสมอง เป็นต้น
วิธีการคัดกรองโรคมะเร็งปอด
การตรวจคัดกรองในผู้มีความเสี่ยง ในปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low – Dose Computerized Tomography : LDCT)ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง
- การซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจพิเศษโดยแพทย์
- เอกซเรย์ปอด (X-Ray)
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
- การตรวจด้วยเครื่องเพท/ซีทีสแกน (PET/CT Scan)
- การส่องกล้องหลอดลมปอด (Bronchoscopy) และตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
- การส่องกล้องในช่องกลางทรวงอก (Mediastinoscopy)
- การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อ (CT-Guided Biopsy) เป็นต้น
วิธีการรักษาโรคมะเร็งปอด
1. การผ่าตัด ใช้สำหรับรักษามะเร็งในระยะแรกที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปไกล หรือมีการกระจายไปเฉพาะต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ และไม่มีการลุกลามไปที่อวัยวะสำคัญต่างๆ การผ่าตัดมี 4 แบบ
- การตัดเป็นรูปลิ่ม (Wedge Resection) คือ การผ่าตัดเพื่อนำเอาก้อนมะเร็ง และเนื้อเยื่อรอบๆ ออก
- การตัดกลีบปอด (Lobectomy) คือ การตัดกลีบปอดออกทั้งกลีบ
- การตัดปอดทั้งข้าง (Pneumonectomy) คือการตัดปอดทั้งข้าง
- การตัดปอดและส่วนของหลอดลมร่วมออกด้วย (Sleeve Resection) คือ การตัดปอดออกทั้งกลีบร่วมกับการตัดและต่อหลอดลมข้างเคียงของปอดนั้นด้วย
2. การฉายรังสี เป็นการรักษาเฉพาะที่เช่นเดียวกับการผ่าตัด โดยมีข้อบ่งชี้ของผู้ป่วยดังนี้
- ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะแรกในรายที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ มีผลการรักษาใกล้เคียงกับการผ่าตัด.
- ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะลุกลามเฉพาะที่ (ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด) เป็นการรักษาหลักเพื่อหวังผลหายขาด ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะที่มีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองมากกว่าบริเวณใกล้เคียงทำให้ไม่สามารถผ่าตัดได้
- ใช้เป็นการรักษาเสริมก่อน และ/หรือหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยระยะที่ 3 ที่มีข้อบ่งซื้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคเฉพาะที่
- ใช้เป็นการรักษาแบบประคับประคองในรายที่เป็นระยะลุกลาม เช่น บรรเทาอาการปวดกระดูก บรรเทาการกดทับเส้นเลือด หรือเส้นประสาทที่สำคัญบรรเทาอาการ ในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังสมอง เป็นต้น
- ใช้เป็นการรักษาเพื่อป้องกันการกระจาย เช่น การฉายรังสีที่ศีรษะ เพื่อป้องกันมะเร็งกระจายมาที่สมอง
3. การให้ยาเคมีบำบัด เป็นการให้ยาที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยการฉีด หรือผสมสารละลายหยุดเข้าทางหลอดเลือด ตัวยาจะผ่านเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดและเข้าสู่เซลล์มะเร็งทางเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งนั้น ข้อดีคือยาเคมีบำบัดสามารถเข้าไปทุกส่วนทั่วร่างกาย ภายในระยะเวลาใกล้เคียงกันแต่จะมีข้อเสียในเรื่องผลข้างเคียงจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผมร่วง เป็นแผลที่เยื่อบุในปาก ท้องร่วง ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง ทำให้อาจติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรงกว่าปกติเป็นต้น โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดในกรณีต่อไปนี้
- ให้ภายหลังการผ่าตัด ในกรณีที่ผลการผ่าตัดพบว่าเป็นในระยะที่ 2 (ระยะที่ 1 ในบางกรณี)
- ให้ร่วมกับการฉายแสง เพื่อรักษามะเร็งระยะลุกลามเฉพาะที่
- ให้เพื่อลดขนาดก้อนมะเร็งให้เล็กลง ก่อนพิจารณาการรักษาอื่นๆ ต่อในมะเร็งระยะที่ 3
- ให้เพื่อรักษาประคับประคองโรคระยะลุกลาม หรือกำเริบ ทั้งนี้ แพทย์ผู้ดูแลจะประเมินความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายรวมทั้งความเหมาะสมในการให้การรักษาด้วยยาเคมีในผู้ป่วยแต่ละรายก่อนเสมอ
4. การรักษาโดยให้ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy) เป็นการรักษามะเร็งที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ตัวมะเร็งเป็นหลัก แต่มีผลต่อเซลล์ปกติเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ต้องมีการตรวจการกลายพันธุ์ของยีนก่อน ถ้ามีผิดปกติจึงจะใช้ยาในกลุ่มนี้ได้ เช่น การตรวจ EGFR mutation, ALK Fusion เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้โดยมากเป็นยาในรูปแบบรับประทาน มีผลข้างเคียงน้อยและมีประสิทธิภาพดีกว่ายาเคมีบำบัด
5. การรักษาโดยใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นการรักษามะเร็งแนวใหม่ล่าสุด โดยใช้ยาไปกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายให้มาทำลายเซลล์มะเร็ง โดยมีผลข้างเคียงน้อย เป็นยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ อาจใช้เพียงลำพังหรือให้ร่วมกับยาตัวอื่นๆ เช่น ยาเคมีบำบัด เป็นต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมในการใช้ยาของผู้ป่วยแต่ละราย