แม้ว่าการกดสั่งชีสเค้กเจ้าดัง สเต็กไก่ทอดซอสเกรวี่ หรือชานมไข่มุกเสือพ่นไฟ นั้นแสนง่าย แต่การควบคุมน้ำหนักโดยการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมนั้น ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะทำไม่ได้ ในหลากหลายวิธีควบคุมอาหารนั้น การทานคีโต ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หากใครยังไม่ทราบว่าคีโตคืออะไร มีวิธีการทานอย่างไร ที่สำคัญคือมีความแตกต่างจากการ ลดน้ำหนัก วิธีอื่นอย่างไร บทความนี้พร้อมตอบทุกคำถาม
Ketogenic Diet (คีโตเจนิก ไดเอท)
หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “อาหารคีโต” เป็นหลักการทานอาหารที่เน้นไขมันสูง โปรตีนรองลงมา และลดคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด เพื่อกระตุ้นร่างกายสร้างสาร Ketone ช่วยเผาผลาญไขมัน จึงเหมาะทั้งผู้ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาล
สัดส่วนอาหารหลักในคีโต
- ไขมัน 70%
ไขมันดีจากพืชและน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น- ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์, วอลนัท ฯลฯ)
- อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, น้ำมันรำข้าว
- เนย, ชีส, ปลาทะเล
- โปรตีน 25%
จากเนื้อสัตว์และพืช เช่น- เนื้อหมู, ไก่, ปลา, ไข่
- ถั่วเหลือง, เต้าหู้, เทมเป้, เมล็ดฟักทอง
- คาร์โบไฮเดรต 5%
ผักใบเขียว ผลไม้ไม่หวานจัด นมมะพร้าว นมอัลมอนด์ ฯลฯ รวมกันไม่เกิน 1½ ถ้วย (≈3 กำมือเล็ก) ต่อวัน
อาหารที่ควรงด
เพื่อให้คีโตได้ผล ควรงดอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงทุกชนิด และไขมันทรานส์ เช่น
- ข้าว แป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว พาสต้า
- น้ำตาล ขนมเค้ก แอลกอฮอล์
- อาหารทอด เนื้อสัตว์แปรรูป ครีมเทียม
ข้อควรระวัง
คีโตไม่ควรทำระยะยาว เพราะอาจขาดสารอาหาร จำกัดคาร์บเพียง 20–50 กรัม/วัน การลดน้ำหนักจะเร็วสุด 6 เดือนแรก หลังนั้นจะคงที่เทียบกับวิธีอื่น
ด้วยความปรารถนาดีจาก
ศูนย์ควบคุมน้ำหนัก แผนกอายุรกรรม | โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่





