ปัจจุบันมีผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเสริมหน้าอกทั่วโลกมาแล้วกว่า 10 ล้านคน จากสถิติในปี 2018 ของ American Society of Plastic Surgeons (ASPS) การผ่าตัดเสริมหน้าอกยังเป็นการผ่าตัดเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับที่ 1 โดยมีผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมากกว่า 3 แสนราย สำหรับประเทศไทยจากข้อมูลของ International Society for Aesthetic Plastic Surgery (ISAPS) มีรายงานการผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ได้รับการบันทึกประมาณ 14,000 ราย แต่ในความเป็นจริงคาดว่าโดยรวมทั้งหมดน่าจะมีมากกว่า 20,000 รายต่อปี
การเสริมหน้าอกคืออะไร
การผ่าตัดเสริมหน้าอกในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 แบบ สามารถทำแบบใดแบบหนึ่งหรือทำร่วมกันทั้งสองอย่างในครั้งเดียวได้ ประกอบไปด้วย
- การเสริมหน้าอกด้วยเต้านมเทียม (Breast Implant Augmentation)
- การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง (Fat Transfer Augmentation) เป็นวิธีที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะใช้เนื้อเยื่อตนเอง ไม่ใช้วัตถุแปลกปลอม มีความเป็นธรรมชาติสูง แต่มีข้อจำกัดหลายเรื่อง ได้แก่ จำเป็นต้องมีการผ่าตัดเพิ่มเติมคือ การดูดไขมัน ซึ่งต้องมีอุปกรณ์เฉพาะและการอยู่ตัวของไขมันที่ฉีดอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีกี่รูปแบบ
ซิลิโคนที่ใช้เสริมหน้าอกในปัจจุบันเกือบทั้งหมดจะใช้ซิลิโคนเจล (Silicone Gel) ซึ่งผิวภายนอกเป็นถุงซิลิโคนและภายในมีลักษณะเป็นเจล โดยพื้นฐานจะเป็นรูปทรงกลมเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในมิติและการสัมผัส
ผิวภายนอกซิลิโคนมี 2 ชนิด ได้แก่
- ผิวภายนอกซิลิโคนชนิดหยาบหรือผิวทราย (Textured)
- ผิวภายนอกซิลิโคนแบบผิวเรียบ (Smooth)
นอกจากนี้ยังมีรูปทรงหลายชนิดให้เลือก เช่น ทรงกลม (Round) ทรงหยดน้ำ (Teardrop) รวมทั้งขนาดและความนูนในระดับต่าง ๆ
ซิลิโคนเสริมหน้าอกใช้งานได้นานไหม
ปัจจุบันซิลิโคนเต้านมเทียมมีคุณภาพและความคงทนที่ค่อนข้างดีไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตามเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี โดยในส่วนของเต้านมเทียมผิวขรุขระหรือผิวทราย (Textured Implant) ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในประเทศไทย มีข้อมูลระบุว่าสามารถลดการเกิดพังผืดหดรัดและมีพื้นผิวที่สามารถยึดเกาะได้ดี จึงเหมาะกับซิลิโคนเต้านมบางประเภท เช่น ทรงหยดน้ำ ซึ่งต้องการการยึดเกาะที่ดีเพื่อให้ไม่มีการพลิกหรือหมุนตัว แต่ละยี่ห้อจะมีความละเอียดของผิวทรายที่แตกต่าง ตั้งแต่แบบหยาบหรือขรุขระมาก (Macrotexture) จนถึงแบบละเอียด (Micro – Nano Texture) ควรเลือกซิลิโคนผิวขรุขระให้เหมาะสมภายใต้คำแนะนำของศัลยแพทย์และมีการเฝ้าระวังและตรวจเช็กหน้าอกอย่างสม่ำเสมอ
เลือกซิลิโคนอย่างไรให้เหมาะสม
การเลือกซิลิโคนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เพราะสรีระร่างกายแต่ละคนต่างกัน โดยศัลยแพทย์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และแนะนำการเลือกชนิดและขนาดซิลิโคนที่เหมาะสม ได้แก่
- ขนาดความสูงและความกว้างของลำตัว
- ลักษณะของเนื้อหน้าอกเดิมเช่นความหย่อนคล้อยความหนาของผิวหนังและไขมันบริเวณหน้าอก
- ความชอบส่วนบุคคล บางคนชอบทรงพุ่งนูนค่อนข้างแน่น บางคนชอบแบบนุ่มนวลธรรมชาติ
ผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างไร
การผ่าตัดเสริมหน้าอกสามารถเลือกบริเวณของแผลผ่าตัดที่จะใช้ในการใส่ซิลิโคนได้ ประกอบไปด้วย
- ใต้ราวนม การผ่าตัดแผลใต้ราวนมสามารถจัดวางตำแหน่งได้ถูกต้อง เสียเลือดน้อย และฟื้นตัวรวดเร็ว รวมทั้งใช้เป็นแผลผ่าตัดหลักในกรณีที่ทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนซิลิโคน
- ใต้รักแร้หรือรอบปานนม การผ่าตัดแผลใต้รักแร้และบริเวณหัวนมจะทำได้ยากกว่า มีการช้ำและเสียเลือดมากกว่า การพักฟื้นใช้เวลานานกว่า
ตำแหน่งการวางซิลิโคนคือบริเวณใด
โดยทั่วไปตำแหน่งในการวางซิลิโคนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อ บนกล้ามเนื้อ กึ่งบนและใต้กล้ามเนื้อ หรือใต้เนื้อหน้าอก ซึ่งศัลยแพทย์จะแนะนำตำแหน่งที่เหมาะสมกับแต่ละคน โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- ความหนาของเนื้อบริเวณหน้าอก
- ความหย่อนคล้อยของหน้าอก
- ลักษณะของทรวงอก
เตรียมตัวก่อนเสริมเต้านมอย่างไร
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดเสริมเต้านม ได้แก่
- ตรวจร่างกาย
- ตรวจเลือด
- เอกซเรย์ปอด
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตามเกณฑ์
- งดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนมาผ่าตัด
- หยุดยาที่รับประทานบางชนิดก่อนการผ่าตัด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามิน สมุนไพร
- หยุดสูบบุหรี่และหยุดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
กระบวนการเสริมเต้านมมีขั้นตอนอย่างไร
กระบวนการเสริมเต้านมจะทำเป็นขั้นตอน ได้แก่
- วิสัญญีแพทย์ให้การดมยาสลบก่อนเริ่มการผ่าตัด
- ศัลยแพทย์จะเริ่มทำการผ่าตัดตามที่ได้วางแผนกับผู้มารับการเสริมหน้าอก โดยทำการเลาะช่องบริเวณหน้าอก ใส่ซิลิโคน และเย็บปิดแผล
- การผ่าตัดเสริมหน้าอกใช้เวลาประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อนหลังเสริมเต้านม
ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการเสริมเต้านม ได้แก่
- ปวด
- บวม
- มีไข้สูง
- แผลอักเสบติดเชื้อ
- มีน้ำเหลืองหรือเลือดออกจากแผลผ่าตัด
- คลำได้ก้อนบริเวณหน้าอก
- ผลข้างเคียงจากยาสลบ ยาแก้ปวด เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
- ผลระยะยาวจากการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเกิดพังผืดหดรัด การเคลื่อนตำแหน่งของซิลิโคน การหย่อนคล้อยของหน้าอก รวมทั้งการผิดรูป เช่น แข็งตัวหรือเสียรูปทรง หรือการแตกของถุงซิลิโคน
ดูแลหลังเสริมเต้านมอย่างไร
การดูแลหลังเสริมเต้านม ประกอบไปด้วย
- การดูแลแผลผ่าตัด ในช่วงสัปดาห์แรกสามารถอาบน้ำได้ เนื่องจากแพทย์จะทำการปิดฟิล์มกันน้ำ แต่หลีกเลี่ยงการลงไปแช่ในน้ำหรือว่ายน้ำในสระ หลังจากพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กและแผลหายดีแล้วจะมีการแนะนำให้ใช้ครีมทาแผลเป็นหรือแผ่นซิลิโคนปิดแผลเป็น
- การดูแลหน้าอกหลังใส่ซิลิโคน แนะนำให้ใส่บราชนิดไม่มีโครงอย่างน้อย 1 เดือน หลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกบริเวณหน้าอก และการออกกำลังกายที่ใช้แขนมากในช่วง 1 เดือนแรก
- การดูแลอื่น ๆ ได้แก่ งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ รวมทั้งของหมักดอง อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
- การดูแลในระยะยาว หมั่นตรวจเช็กหน้าอกด้วยตัวเองและตรวจแมมโมแกรมตามกำหนด
ผ่าตัดแก้ไขหน้าอกคืออะไร
ผู้ที่ได้รับการเสริมหน้าอกอาจมีโอกาสเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น
- เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีเลือดออก
- มีภาวะผังผืดหนาหดรัดตัว
- มีการแตกของซิลิโคน (Implant Rupture) ซึ่งปัจจุบันพบได้น้อยมาก
- มีความต้องการเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงของซิลิโคน
เลือกซิลิโคนแบบไหนให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ปัจจุบันซิลิโคนเป็นผิวเรียบทั้งหมด การเลือกซิลิโคนให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นอยู่กับขนาดที่ไม่ใหญ่เกินไป เหมาะกับส่วนสูง รูปร่าง ขนาดลำตัว ถ้าเลือกรูปทรงแบบพุ่งหรือนูนจะมีมิติส่วนเว้าส่วนนูนของร่างกาย แต่ความเป็นธรรมชาติจะลดลง รวมถึงชนิดของซิลิโคน ถ้าเลือกซิลิโคนค่อนข้างแข็งจะให้ความรู้สึกแน่นหรือเห็นได้ชัด แต่ถ้าเลือกซิลิโคนที่มีความนุ่มหรือคล้อยเหมือนหน้าอกจริงจะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ผู้ที่มีเนื้อหน้าอกเยอะควรเสริมเต้านมแบบใด
ในผู้ที่มีเนื้อหน้าอกค่อนข้างเยอะ วิธีที่เหมาะสมคือการวางซิลิโคนบริเวณใต้หน้าอกเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากไม่มีความแข็งของกล้ามเนื้อมาบดบังและไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของซิลิโคน ตำแหน่งที่วางจึงค่อนข้างคงที่และมีสัมผัสที่เป็นธรรมชาติ
ผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อยควรเสริมเต้านมแบบใด
ในผู้ที่มีเนื้อหน้าอกค่อนข้างน้อยหรือมีรูปร่างผอมมาก วิธีที่เหมาะสมคือการวางซิลิโคนบริเวณใต้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อช่วยบดบังขอบและรอยพับซิลิโคนได้ ต่างจากการวางใต้หน้าอกที่เสี่ยงต่อการเห็นรอยต่อ รอยขอบ รอยพับของซิลิโคนง่ายจึงควรวางไว้ใต้กล้ามเนื้อ
ถ้าซิลิโคนแตกทำอย่างไร
ปัญหาซิลิโคนแตกพบได้น้อยมาก เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่หากซิลิโคนแตกอาการที่สังเกตได้ คือ รูปทรงเปลี่ยนไป หน้าอกแข็ง ลักษณะของเต้านมทั้งสองข้างแตกต่างกันเกินไป วิธีแก้ไขคือ การผ่าตัดเพื่อนำซิลิโคนเก่าออกไปและนำซิลิโคนใหม่ใส่เข้ามา แต่ละคนจะแตกต่างกัน บางคนต้องนำซิลิโคนและพังผืดออกมาแล้วใส่ซิลิโคนใหม่เข้าไป หรือในบางคนเปลี่ยนแค่ขนาด ไม่ต้องเลาะพังผืดออกทั้งหมด
การยกกระชับหน้าอกคืออะไร
การยกกระชับผิวหนังบริเวณหน้าอกและเนื้อหน้าอก คือ การแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ทำให้หน้าอกตึงขึ้น เนื้อข้างนอกและเนื้อข้างในตึงมากขึ้น โดยเทคนิคการรักษาขึ้นอยู่กับความตึงของเนื้อด้านนอก ถ้าหย่อนคล้อยมากอาจจำเป็นต้องตัดเนื้อมากขึ้น ซึ่งการผ่าตัดหน้าอกทุกรูปแบบมีผลต่อความรู้สึกของผู้ป่วย โดยเฉพาะการยกกระชับหน้าอกอาจทำให้ความรู้สึกหายไปค่อนข้างมาก
อายุกับการเสริมเต้านมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ในแต่ละช่วงอายุลักษณะของเต้านมจะแตกต่างกัน การเสริมหน้าอกในช่วงอายุน้อยและก่อนมีบุตรจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว หน้าอกค่อนข้างกระชับ หย่อนคล้อยช้า แต่มีความตึงสูง และอาจใช้เวลาในช่วงระยะแรกก่อนที่รูปทรงจะเข้าที่ ส่วนการเสริมหน้าอกในช่วงที่อายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังมีบุตร หน้าอกจะมีการขยายตัวมาบ้างแล้ว และมีความยืดหยุ่น ทำให้รูปทรงเข้าที่ได้เร็ว แต่ก็อาจทำให้มีการหย่อนคล้อยเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะบางรายที่หน้าอกเดิมมีการหย่อนคล้อยมากอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดยกกระชับไปด้วย
เพราะศัลยแพทย์มีส่วนสำคัญทั้งในขั้นตอนก่อนผ่าตัด การเลือกซิลิโคน การแนะนำวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม ตลอดจนขั้นตอนการผ่าตัดให้ได้ผลดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจเสริมหน้าอกควรศึกษาข้อมูลและเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ประกอบกับมีทีมสหสาขาที่มากด้วยประสบการณ์เพื่อผลการผ่าตัดที่น่าพอใจ
แพทย์ที่ชำนาญด้านศัลยกรรมเต้านม
นพ.นฤพนธ์ โรจนพิทยากร ศัลยแพทย์ตกแต่ง ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลกรุงเทพ
สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง
โรงพยาบาลที่ชำนาญด้านศัลยกรรมเต้านม
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การผ่าตัดเสริมเต้านมโดยศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความชำนาญเฉพาะทาง พยาบาล และทีมสหสาขาวิชาชีพ พร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ เพิ่มความมั่นใจในทุกการใช้ชีวิต















