มะเร็งปากมดลูก
Rigomi (พ.ศ. 2385) และ Stern ชาวอิตาลี รายงานว่า แทบจะไม่พบว่าแม่ชีและสตรีที่รักษาพรหมจรรย์ (Nun and Virgins) เป็นมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นสรุปว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากมีเพศสัมพันธ์ (Sexual Inducing Cancer) ซึ่งปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง โดยพบเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในเซลล์มะเร็งของปากมดลูกที่เรียกว่า HPV (Human Pappilloma Virus)
ส่วนใหญ่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งชายและหญิงจะเคยติดเชื้อนี้มาแล้ว สถิติของอเมริกาพบว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 18 – 22 ปี เคยติดเชื้อนี้มาแล้วมากกว่า 75 %
การติดเชื้อ HPV ตามทฤษฎีแล้วอาจติดได้จาก
1. การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์วิธีอื่น (Sexual Intercourse, Genital – Genital Contact, Manual Genital, Oral – Genital) การใช้ถุงยางอนามัยจะช่วยลดอัตราเสี่ยง แต่ไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ (Not Fully Protect Against Infection)
2. ติดต่อโดยวิธีอื่น เช่น จากแม่สู่ทารกแรกเกิด หรือการใช้ของร่วมกัน (Undergarments, Surgical Gloves) ซึ่งวิธีนี้ตามทฤษฎีอาจเกิดขึ้นได้ แต่พบได้ยากมาก
ปัญหาที่สำคัญ คือ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV จะไม่มีอาการแสดง ดังนั้นจะไม่รู้ตัว และสามารถกระจายเชื้อไวรัสไปสู่คนอื่น ๆ ได้
อาการมะเร็งปากมดลูก
ระยะก่อนมะเร็งหรือระยะเริ่มต้นของโรคนี้จะไม่มีอาการแสดงที่ผิดปกติ แต่ยกเว้นถ้าเป็นโรคมะเร็งมาก อาจมีอาการดังนี้
- เลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติ (Abnormal Vaginal Bleeding)
- มีระดูขาวที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีกลิ่นเหม็น
- ถ้ากระจายไปยังอวัยวะอื่นอาจมีอาการปวด ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือดได้
ระยะก่อนมะเร็งหรือมะเร็งที่เพิ่งเริ่มเป็นจะไม่มีอาการและการรักษาทำได้ง่าย มีโอกาสที่จะหายขาดได้สูง วิธีที่จะทราบได้คือการมารับการตรวจภายในเพื่อเอาเซลล์จากปากมดลูกมาตรวจที่เรียกกันว่า ตรวจแป๊ป (Pap Smear) และถ้าตรวจร่วมกับการหาเชื้อไวรัส HPV (HPV DNA Test) จะทำให้ได้รับความชัดเจนถูกต้องใกล้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ตรวจวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
ถ้าตรวจเซลล์ที่ผิดปกติจากการตรวจแป๊ปหรือตรวจพบ HPV แพทย์อาจขอตรวจด้วยการส่องกล้องขยายดูปากมดลูก (Calposcopic Exam) เพื่อดูหรือค้นหาบริเวณที่ผิดปกติ และจะทำการขลิบเอาชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy) เพื่อยืนยันว่ามีความผิดปกติจริง และจะได้วางแผนการตรวจเพื่อบอกระยะของโรคและวางแผนการรักษาได้ถูกต้อง
รักษามะเร็งปากมดลูก
การรักษาขึ้นกับระยะของโรค สำหรับการรักษาระยะเริ่มต้นอาจจะรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น
- ตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวย (Therapeutic Conization)
- การตัดมดลูกพร้อม ๆ กับเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองออก (Radical Hysterectomy with Pelvic Lymphadenectomy)
รักษาด้วยรังสี
การรักษาด้วยรังสีสำหรับมะเร็งปากมดลูกใช้รักษาได้ทุกระยะของมะเร็ง และมักจะร่วมกับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Concurrent Chemo – Radiation Treatment)
การรักษาด้วยรังสีจะประกอบด้วยการฉายรังสีด้วยเครื่องฉายรังสี (Teletherapy) และการใส่แร่ (Brachy – Therapy)
รักษาด้วยเคมีบำบัด
การรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียวจะใช้ในกรณีที่มะเร็งกระจายไปมากพอควร ซึ่งไม่สามารถให้รังสีรักษาหรือทำการผ่าตัดได้
เป้าหมายการรักษา
มุ่งหวังให้คนไข้หายจากโรค แต่เนื่องจากบางครั้งมะเร็งอาจกลับคืนได้ ดังนั้นภายหลังการรักษาแพทย์จะนัดให้มาตรวจเป็นระยะ ๆ และถ้ามีปัญหาหรือผลข้างเคียงจากการรักษาจะได้แก้ไข
ป้องกันมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้ ถ้าผู้หญิงใส่ใจสุขภาพของตัวเองอยู่เสมอ
- มะเร็งปากมดลูกเกิดจากเชื้อ HPV ที่เรียกว่า High Risk HPV ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13 ชนิด
- ในปัจจุบันพบว่า HPV ชนิดที่ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ประมาณ 70 % ของคนที่เป็น ซึ่งมีวัคซีนป้องกันไวรัสสองตัวนี้ถ้าได้รับการฉีดวัคซีนสามารถลดอัตราเสี่ยงลงได้อย่างน้อย 70% และถ้าร่วมกับการตรวจ Pap Smear และค้นหา High Risk HPV DNA เป็นประจำตามที่แพทย์แนะนำจะสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้