ความรู้ทั่วไปเรื่องไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ป่วยเวลาเด็กมีไข้
สาเหตุของไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายตัวเมีย ซึ่งชอบออกหากินในเวลากลางวัน ตามบ้านเรือน และโรงเรียนชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรอง ขาตูกับข้าว ยุงลายบินไปกัดผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูงเชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน
เชื้อเดงกี เป็นเชื้อไวรัสมีด้วยกัน 4 ชนิด (Serotype) Den1 , Den2 , Den3 และ Den4 พบว่าหลังจากปี 2543 เชื้อสายพันธุ์ที่สอง Den2 เริ่มกลับมาพบมากขึ้น และมีอัตราการตายสูง เนื่องจากเป็นเชื้อที่หากเป็นแล้วจะเกิดอาการรุนแรง
เมื่อไรจะสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก
- ไข้สูงลอยเฉียบพลัน 2-7 วัน เบื่ออาหาร หน้าแดงปวดศรีษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีอาการ ปวดท้อง
- บางรายมีจุดเลือดขึ้นตามตัว เลือดกำเดาไหล
- ไข้ลด แต่ผู้ป่วยดูซึมลง ตัวเย็น หน้ามืด ปัสสาวะลดลง
การดำเนินของโรค DHF
มี 3 ระยะ คือ
- ระยะไข้สูง ส่วนใหญ่ไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส นาน 2-7 วัน หน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ปวดท้อง อาเจียน ปวดตามตัว มีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง หรืออวัยวะอื่นและไม่พบอาการไข้หวัดชัดเจน
- ระยะวิกฤติ/ช็อก เป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสม่า ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็นชีพจรเบา บางรายถึงกับภาวะช็อก ระยะนี้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังไข้ลดลง
- ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่มีการดูดกลับของพลาสม่า เข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยอาการดีขึ้น เริ่มอยากอาหาร คัน ปัสสาวะเพิ่มขึ้น บางรายจะเห็นวงยาวกระจายอยู่ในพื้นสีแดง
ป้องกัน ดีกว่า รักษา
1. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด
- นอนกางมุ้ง โดยเฉพาะในเวลากลางวัน
- ไม่ควรเล่นในที่อับและมืด ที่ทำงานหรือที่เรียนควรโล่ง มีลมพัดผ่าน
2. การกำจัดยุง
- กำจัดแหล่งเพราะพันธุ์ยุง และลูกน้ำยุงลาย
- พ่นสารเคมีบริเวณแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
หากผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ รีบพาไปพบแพทย์
- ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงเมื่อมีไข้ลด
- เลือดออกผิดปกติ
- อาเจียนมาก หรือปวดท้องมาก
- กระหายน้ำตลอดเวลา
- ซึมมาก ไม่ดื่มน้ำ
- มีอาการช็อกคือ มือ-เท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวลาย ปัสสาวะลดลง
การดูแลรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี
1.ระยะไข้สูง
- เช็ดตัวลดไข้ กินยาพาราเซตามอล เมื่อไข้สูงแต่ไม่ควรถี่กว่า 4 ชั่วโมง
- ห้ามใช้ยาแอสไพริน ยาพวก NSAID
- อาหารแนะนำ อาหารอ่อน ย่อยง่าย ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือเกลือแร่ แทนน้ำเปล่า
- ควรงดกินอาหารหรือน้ำ ที่มีสีแดงหรือดำ
- ควรหลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น เนื่องจากยาบางอย่างอาจจะทำให้มีเลือดออกมาก หรือเป็นพิษต่อตับ หรือไตได้
2. ระยะวิกฤต / ช็อก
- ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากแพทย์ และพยาบาลอย่างใกล้ชิด โดยมีการปรับน้ำเกลือ ให้เหมาะสมกับสัญญาณชีพ ปริมาณปัสสาวะของผู้ป่วย
- ทำการห้ามเลือด ในผู้ป่วยที่มีเลือดออก
- ให้สารน้ำเกลือให้เหมาะสม
3. ระยะพักฟื้น
- ควรให้ผู้ป่วยพัก ไม่ให้มีการกระทบกระแทก และแนะนำให้ผู้ป่วยกินผลไม้มากๆ เพื่อลดอาการท้องอืดจากการขาดโปแตสเซียม






