มะเร็งผิวหนัง คือ มะเร็งอะไร
มะเร็งผิวหนัง คือการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่บริเวณผิวหนังและเยื่อบุจนกลายเป็นเนื้อร้าย มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อย คือ เบเซลเซลล์ basal cell carcinoma, สเควมัสเซลล์ squamous cell carcinoma และ เมลาโนมา melanoma
สาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรค แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- แสงแดด มะเร็งผิวหนังมัก เกิดบริเวณที่โดนแดดจัดเป็นเวลานาน ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ชอบอาบแดดหรือมีประวัติถูกผิวไหม้แดด
- เชื้อชาติ คนผิวขาว ผมสีบรอนซ์ เพราะมีเม็ดสีผิวน้อยกว่า ทำให้ความสามารถในการป้องกันเซลล์ผิวหนังจากแสงอัลตราไวโอเลตจึงมีน้อย
- ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายบกพร่อง เช่น HIV หรือโรคเอดส์ การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- การสูบบุหรี่เป็นเวลานาน
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง
- มีประวัติถูกสารเคมี เช่น สารหนู หรือสัมผัสสารเคมีเป็นเวลานานๆ
- ผิวหนังเคยได้รับการฉายรังสี
อาการโรคมะเร็งผิวหนัง มีอะไรบ้าง
โรคมะเร็งผิวหนังมีอาการที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย อาการของมะเร็งผิวหนังจะแตกต่างกันตามชนิดของมะเร็งผิวหนังดังนี้

สามารถมีหลายสีได้ ตั้งแต่สีดำ แดง ชมพู น้ำตาล เทา โดยสีของมะเร็งผิวหนังจะกระจายบนก้อนไม่สม่ำเสมอกัน เป็นชนิดที่พบได้น้อยที่สุด แต่มีความรุนแรงสูง เพราะมีโอกาสแพร่กระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงและที่อื่น ๆได้มากกว่าชนิดอื่นเข้าสู่กระแสเลือดได้สูงและรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายใน 3-6 เดือน
โรคมะเร็งผิวหนังมีกี่ระยะ
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา
- ระยะที่ 1 รอยโรคมีขนาดโตไม่เกิน 2 เซนติเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 90-100%)
- ระยะที่ 2 รอยโรคมีขนาดโตเกิน 2 เซนติเมตร หรือมีขนาดใดก็ได้แต่เป็นเซลล์มะเร็งชนิดที่มีการแบ่งตัวสูงหรือลุกลามลงลึกใต้ผิวหนัง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 70-80%)
- ระยะที่ 3 โรคลุกลามเข้าเนื้อเยื่ออื่นที่อยู่ติดผิวหนัง หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงเพียง 1 ต่อมและต่อมมีขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 50%)
- ระยะที่ 4 รอยโรคลุกลามเข้ากระดูก หรือเส้นประสาท หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 1 ต่อม หรือต่อมน้ำเหลืองมากกว่า 3 เซนติเมตร หรือโรคแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักแพร่กระจายเข้าสู่ปอด (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 0-30%)
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา
- ระยะที่ 1 รอยโรคมีขนาดความลึก 0-1 มิลลิเมตร (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 75-80%)
- ระยะที่ 2 รอยโรคมีขนาดความลึกตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรขึ้นไป (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 40-70%)
- ระยะที่ 3 โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 30-40%)
- ระยะที่ 4 โรคแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเมื่อแพร่กระจายมักจะแพร่กระจายเข้าสู่ปอด กระดูก และสมอง (อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ภายหลังการรักษา คือ ประมาณ 0-10%)
วิธีการคัดกรองโรคมะเร็งผิวหนัง
- แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังได้จากประวัติ และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของผู้ป่วย การตรวจลักษณะของรอยโรค สี ขนาด และรูปร่างของผิวที่ผิดปกติ การตรวจคลำต่อมน้ำเหลือง
- ส่วนการตรวจวินิจฉัยที่ให้ผลแน่นอน คือ การตัดชิ้นเนื้อจากรอยโรค (Skin Biopsy) ก้อนเนื้อ แผล หรือไฝ เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งอาจตัดบางส่วนหรือตัดทั้งก้อนก็ได้
การตรวจเบื้องต้นมีหลายวิธี ได้แก่
การตรวจประเมินมะเร็งผิวหนังระยะเริ่มต้น เนื่องจากการรักษามะเร็งผิวหนังจะได้ผลดีและหายขาดเมื่อตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้น ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวไปควรสำรวจร่างกายของตนเองให้ทั่วเป็นระยะ ซึ่งจะต้องใช้กระจกตั้งและกระจกมือช่วย โดยมีขั้นตอนการตรวจดังนี้
- ให้ยืนหน้ากระจกแล้วส่องข้างหน้า ข้างหลัง ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา และยกแขนขึ้น
- ตรวจดูที่แขน รักแร้ มือ หลังมือ และข้อศอก
- ตรวจดูที่ต้นขาด้านหน้าและหลัง น่อง หน้าแข้ง เข่า หลังเท้า และซอกนิ้ว
- ตรวจดูที่คอด้านหน้าและด้านหลัง หนังศีรษะ และไรผม
- ตรวจดูที่หลัง (อาจสังเกตจากการใช้หลัก ABCDE)
A: Asymmetry ความไม่สมมาตรของรอยโรคผิวหนังในแต่ละด้าน
B: Border irregular ลักษณะขอบของรอยโรคผิวหนัง ขอบไม่เรียบ ไม่คมชัด
C: Color multiple สีของรอยโรคไม่สม่ำเสมอ มีการเปลี่ยนสี
D: Diameter > 6 mm. or Ugly duckling ลักษณะโครงสร้างของรอยโรคผิวหนังขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร
E: Evolution in last 3 months มีการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
วิธีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
- การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า เหมาะกับก้อนเนื้อมะเร็งค่อนข้างเล็ก โดยจะคว้านบริเวณที่เป็นเนื้อร้ายออก จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้ที่เนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีนี้อาจต้องทำติดต่อกัน 2 – 3 ครั้ง จึงจะสามารถนำเนื้อร้ายออกได้หมด
- การรักษาด้วยการจี้เย็น มักจะใช้กับมะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้น โดยจะนำไนโตรเจนเหลวมาจี้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็ง ผิวหนังบริเวณนั้นจะตกสะเก็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนสะเก็ดเหล่านั้นจะหลุดออก
- การผ่าตัดผิวหนัง เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยจะทำการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หากบริเวณที่ผ่าตัดออกมีขนาดใหญ่ อาจนำผิวหนังจากส่วนอื่นมาปิดบริเวณแผลเพื่อทำให้แผลหายเร็วขึ้น และจะทำให้รอยแผลเป็นน้อยลงได้
ส่วนในรายที่เป็นบริเวณกว้างหรืออยู่ในที่ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือมะเร็งแพร่กระจายไปส่วนอื่นหรือเป็นมะเร็ง ผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) ที่มีการแพร่กระจายไปแล้ว แพทย์จะให้รักษาด้วยรังสี รักษาร่วมกับยาเคมีบำบัด ซึ่งผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะได้ผลดีและหายขาดได้