ศูนย์สมองและระบบประสาท (Neuroscience Center)
ศูนย์สมองและระบบประสาท มีทีมแพทย์สหสาขาวิชาทั้งผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและสุขภาพจิต ทีมพยาบาล นักกายภาพบําบัด นักโภชนาการ เภสัชกร เพื่อคอยดูแลให้คำแนะนำ ผู้ป่วยและญาติให้สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้
คลินิกที่ให้บริการ
- คลินิกศัลยกรรมประสาท
- คลินิกโรคหลอดเลือดสมอง
- คลินิกปวดศีรษะ
- คลินิกโรคลมชัก
- คลินิกพาร์กินสัน
- คลินิกสมองเสื่อม
- คลินิกสุขภาพจิต
- คลินิกสุขภาพเพศชาย
การรักษา
- โรคหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดสมองตีบ หลอดเลือดสมองแตก เส้นเลือดสมองผิดปกติ
- โรคความจำเสื่อม
- โรคพาร์กินสันและการเคลื่อนไหวผิดปกติ
- ปวดศีรษะไมเกรน ปวดศีรษะเรื้อรัง
- วิงเวียนศีรษะ
- โรคลมชัก
- โรคเส้นประสาทอักเสบ
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- โรคนอนไม่หลับ
- โรคทางกลุ่มจิตเวช เช่น โรคสองอารมณ์ ซึมเศร้า เครียด โรควิตกกังวล ปัญหาสุขภาพทางเพศชาย
- ก้อนเนื้องอกสมอง และ โรคต่างๆที่ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดสมอง
- ภาวะอุบัติเหตุทางสมอง
- โรคติดเชื้อทางสมอง
นวัตกรรมใหม่ “Bi-Plane DSA”
รักษาโรคหลอดเลือดสมองโดยไม่ต้องผ่าตัด
เครื่องเอกซเรย์ตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือด Bi-plane DSA หรือ Biplane Digital Subtraction Angiography ใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ตับ และหลอดเลือดแขน ขา และหลอดเลือดทั่วร่างกายถือเป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาโรคได้หลายชนิดแบบไม่ต้องผ่าตัด หรือเรียกว่า รังสีร่วมรักษา
จุดเด่นของเครื่อง Bi-Plane DSA
- ถ่ายภาพได้ 2 ระนาบพร้อมกัน (ด้านหน้าและด้านข้าง)
- ภาพที่ได้มีคุณภาพสูง คมชัด เห็นสายสวนหลอดเลือดขนาดเล็กมากชัดเจน
- ให้ภาพเสมือนจริง เป็นภาพ 3 มิติ ช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของเส้นเลือดในส่วนต่าง ๆ ชัดเจน
- ลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการตรวจ เพราะฉีดสารทึบรังสีเพียงครั้งเดียว ผู้ป่วยจึงได้รับรังสีและสารทึบรังสีน้อยลง
- แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยโรคได้สะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะโรคที่ต้องอาศัยการวินิจฉัยอย่างทันท่วงที เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
- เพิ่มความมั่นใจในผลการตรวจรักษา เสริมศักยภาพการรักษาให้มีประสิทธิภาพ
เป็นการตรวจการทำงานของเซลล์ประสาทสมอง โดยการบันทึกการเปลี่ยนแปลงของประจุไฟฟ้าในสมอง ที่ส่งสัญญานไฟฟ้าต่อกันเป็นทอดๆ หรือที่เรียกกว่า คลื่นไฟฟ้าสมอง โดยลักษณะคลื่นจะมีความถี่ และความสูงต่ำต่อเนื่อง แสดงออกมาในรูปแบบของกราฟบนหน้าจอ หลังจากนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทและสมองจะเป็นผู้แปลผล ว่าปกติหรือผิดปกติแบบใด การบันทึกคลื่นสมองนี้ จะทำภายใต้ภาวะต่างๆ เช่น ขณะตื่น ขณะหลับ ระหว่างชัก ระหว่างกระตุ้นด้วยแสงหรืออื่นๆ
ข้อบ่งชี้ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง
- เพื่อวินิจฉัยโรคลมชัก หรือติดตามผลการรักษาโรคลมชัก
- เพื่อวินิจฉัยพยาธิสภาพที่สมอง เช่น ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกที่สมอง หรือ ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ หรือหลังผ่าตัดสมอง
- เพื่อประเมินระดับความรู้สึกตัว เช่น ในผู้ป่วยภาวะโคม่า หรือซึมลง
- เพื่อวินิจฉัยภาวะสมองตาย (Brain death)
- เพื่อวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับ
TMS (Transcranial Magnetic Stimulation)
TMS คือ เครื่องกระตุ้นเซลล์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กระตุ้นให้เซลล์ประสาทสมองประสานงานเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะโดยรวม
The us food and drug administration (FDA) ได้มีการรับรองให้สามารถใช้เครื่อง TMS ในการรักษาโรคดังนี้
- โรคซึมเศร้า ที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยา
- โรคย้ำคิดย้ำทำ
- โรคปวดศีรษะจากไมเกรน
และสามารถใช้ฟื้นฟูผู้ป่วยกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต ขยับร่างกายไม่ได้ครึ่งซีก มีปัญหาด้านการพูด การสื่อสาร และการกลืนอาหาร ก็สามารถใช้เครื่องTMS เพื่อฟื้นฟูอาการได้ เมื่อทำควบคู่กับกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเห็นผลได้ดีกว่าการทำกายภาพเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรคอื่นๆที่สามารถฟื้นฟูด้วยเครื่อง TMS เช่น
- โรคที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือผิดปกติของระบบประสาทสมอง หรือไขสันหลัง เช่นโรคพาร์กินสัน โรคลมชัก
- ผู้ป่วยที่มีอาการปวด โดยสามารถลดความเจ็บปวดเรื้อรังจากระบบประสาท ภาวะกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ปวดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ปวดหลังเรื้อรัง ได้
เทคโนโลยี TMS ค่อนข้างมีความปลอดภัยเมื่ออยู่ภายใต้การประเมินและดูแลของแพทย์ และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเทคโนโลยีนี้ มีผลอยู่ในวงจำกัดที่แคบมาก เพียง 1-3 เซนติเมตร จากหัวกระตุ้น จึงไม่มีผลกระทบที่อันตรายต่ออวัยวะของร่างกาย มีเพียงข้อห้ามใช้ในบุคคลที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดที่ฝังในร่างกาย หรือใส่เครื่องระบายน้ำในโพรงสมอง ผู้ป่วยที่มีความดันในกระโหลกศีรษะสูง และผู้ป่วยที่มีอวัยวะเทียมที่เป็นโลหะที่เพิ่งใส่มาไม่นาน
และอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังทำการกระตุ้นด้วยเครื่องTMs อาจมีอาการปวด และเวียนศีรษะเพียงเล็กน้อย และมีโอกาสทำให้เกิดการชักเกร็งกระตุก เพียง 2% เท่านั้น
