เอชไพโลไร (H. Pylori) เชื้อตัวร้ายของกระเพาะอาหาร ที่คุณไม่อยากเจอ

4 นาทีในการอ่าน
เอชไพโลไร (H. Pylori) เชื้อตัวร้ายของกระเพาะอาหาร ที่คุณไม่อยากเจอ
โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต

 

เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรียชนิดพิเศษที่สามารถเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดภายในกระเพาะอาหาร ความสามารถในการอยู่รอดและเจริญเติบโตทำให้มันสามารถอาศัยในกระเพาะอาหารได้เป็นระยะเวลานานหลายสิบปี การที่เชื้อชนิดนี้เข้าไปอยู่ในชั้นเมือกของกระเพาะอาหาร สามารถนำไปสู่ความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารถึง 10 – 20% และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นได้ถึง 3%

เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรเข้าสู่กระเพาะอาหารของมนุษย์ได้อย่างไร ?

แม้จะอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดของกระเพาะอาหาร เชื้อเอชไพโลไรสามารถที่จะปรับตัวและอยู่รอดได้ โดยผ่านกลไกดังนี้

  1. กลไกต้านทานกรด เชื้อเอชไพโลไรจะผลิตเอนไซม์ยูรีเอส (Urease) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนยูเรียเป็นแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแอมโมเนียจะทำลายฤทธิ์ความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับแบคทีเรีย
  2. รูปร่างเกลียวและการเคลื่อนที่ การที่มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหางที่ช่วยให้สามารถแทรกผ่านชั้นเมือกของกระเพาะอาหารและเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุผิวได้
  3. การยึดเกาะและการตั้งถิ่นฐาน เชื้อเอชไพโลไรใช้โปรตีนแอดฮีซิน (Adhesin) ซึ่งเป็นโปรตีนพิเศษบนพื้นผิวของมัน เพื่อยึดติดแน่นกับเซลล์กระเพาะอาหาร ป้องกันไม่ให้ถูกชะล้างออกไปจากการย่อยอาหาร การปรับตัวเหล่านี้ทำให้เชื้อเอชไพโลไรสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารได้นานหลายสิบปีหากไม่ได้รับการรักษา

เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรแพร่กระจายอย่างไร ? อะไรคือปัจจัยเสี่ยง?

1. วิธีการแพร่กระจาย เชื้อเอชไพโลไร แพร่กระจายหลัก ๆ ผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น ทางปากสู่ปาก หรือปนเปื้อนมากับอาหาร มักแพร่กระจายภายในครอบครัวของผู้ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี

2. ปัจจัยเสี่ยง

  • การรับประทานอาหารดิบหรือปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาหารหมัก
  • การดื่มน้ำที่ปนเปื้อน
  • การใช้ภาชนะร่วมกันหรือรับประทานอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ
  • การอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

ผลกระทบต่อสุขภาพจากการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร

โดยส่วนใหญ่การติดเชื้อมักไม่แสดงอาการโดยเชื้อสามารถอยู่ในกระเพาะได้นานหลายปี ก่อนที่จะแสดงอาการ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ดังนี้

  1. กระเพาะอาหารอักเสบ การอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อทำให้เกิดอาการของโรคกระเพาะอาหาร
  2. แผลในกระเพาะอาหาร เชื้อเอชไพโลไรทำลายชั้นเมือก เพิ่มการสัมผัสกับกรด นำไปสู่แผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น โดยอาจมีอาการของโรคกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารทะลุได้
  3. มะเร็งกระเพาะอาหาร การติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง MALT (MALT lymphoma) โดยองค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสาเหตุการก่อมะเร็งที่สำคัญ
  4. อาการนอกกระเพาะอาหาร เอชไพโลไรอาจมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (ITP; Immune thrombocytopenic purpura)

เมื่อไรควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร

ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเชื้อเอชไพโลไร หากคุณมีอาการเหล่านี้เรื้อรัง

  • ปวดท้องส่วนบน (แสบร้อนหรือปวดตื้อ)
  • อาหารไม่ย่อย
  • คลื่นไส้
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องอืด
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรเพิ่มเติมในกรณี

  • ประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหารโดยไม่เคยตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร
  • มะเร็งกระเพาะอาหาร
  • การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) หรือแอสไพรินเป็นระยะเวลายาว
  • ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กที่ไม่ทราบสาเหตุ
  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน
  • ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรได้รับการวินิจฉัยอย่างไร ?

การตรวจขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และความสามารถในการตรวจหาเชื้อของแต่ละสถานพยาบาล

1. การตรวจด้วยการส่องกล้อง (Endoscopy)

  • การตรวจยูรีเอสจากชิ้นเนื้อ (Rapid Urease Test) ทำระหว่างการส่องกล้องโดยการสะกิดเยื่อบุกระเพาะอาหารมาตรวจการติดเชื้อ เป็นวิธีวินิจฉัยที่รวดเร็วและและมีความแม่นยำสูง
  • การตรวจทางพยาธิวิทยา เป็นการตรวจมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยเชื้อเอชไพโลไร และประเมินความเสียหายของเนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร

2. การตรวจแบบไม่ใช้การส่องกล้อง

  • การตรวจลมหายใจ Urea Breath Test (UBT) เป็นวิธีวินิจฉัยที่แม่นยำและไม่เจ็บ โดยผู้ป่วยจะดื่มสารละลายที่มียูเรียหลังจากนั้นวิเคราะห์ลมหายใจหาคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมของยูรีเอสของเชื้อเอชไพโลไร การตรวจนี้มีความปลอดภัยทั้งสำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์
  • การตรวจแอนติเจนในอุจจาระ (Stool Antigen Test) เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและมีความแม่นยำสูง โดยตรวจหาแอนติเจนของเอชไพโลไรในอุจจาระ โดยต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระส่งตรวจภายใน 4 ชั่วโมง
  • การตรวจแอนติบอดี้ในเลือด ตรวจหาแอนติบอดีต่อเอชไพโลไรในเลือด แม้จะยืนยันการสัมผัสเชื้อได้ แต่ไม่สามารถแยกระหว่างการติดเชื้อที่ยังมีเชื้ออยู่หรือการติดเชื้อในอดีต การพบผลบวกจึงต้องยืนยันด้วยการตรวจอื่นเพื่อหาการติดเชื้อที่ยังคงอยู่

เมื่อติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรรักษาอย่างไร ?

1. ความจำเป็นของการรักษา การรักษาทันทีมีความสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหารหรือมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ร่วมถึงเป็นการรักษาอาการของโรคกระเพาะอาหาร

2. การรักษาเชื้อเอชไพโลไร การรักษามักใช้ยายับยั้งการหลั่งกรด (Proton pump inhibitor; PPI) เพื่อลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ร่วมกับยาปฏิชีวนะตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเพื่อกำจัดเชื้อเอชไพโลไรโดยตรง วิธีการรักษาแบบคู่ขนานนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดแบคทีเรียและบรรเทาอาการ การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนมีความสำคัญมากเพื่อให้แน่ใจว่าการติดเชื้อถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์และป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะ สำหรับสมาชิกในครอบครัวหรือผู้ที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อบ่อย ๆ ควรพิจารณาตรวจคัดกรองและรับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

3. การติดตามผลการรักษา หลังจากทำการรักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรได้รับการตรวจเพื่อยืนยันว่าเชื้อถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ โดยอาจใช้วิธีการตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test) ในการติดตามการรักษาได้

การวินิจฉัยและรักษาการติดเชื้อเอชไพโลไรตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพของกระเพาะอาหาร หากคุณมีอาการปวดท้องบ่อย

อาหารไม่ย่อย ท้องอืดที่เป็นมานาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการประเมินและดูแลที่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  • Crowe SE. Helicobacter pylori Infection. N Engl J Med. 2019 Mar 21
  • Malfertheiner P, Camargo MC, El-Omar E, Liou JM, Peek R, Schulz C, Smith SI, Suerbaum S. Helicobacter pylori infection. Nat Rev Dis Primers. 2023 Apr 20

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ

ชั้น 1

เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น.