เคยสงสัยไหมว่า ตุ่มใสๆ เล็กๆ ที่ขึ้นตามริมฝีปาก หรือแม้กระทั่งบริเวณที่ลับๆ เกิดจากอะไร? นั่นแหละคือ “โรคเริม” ที่หลายคนคุ้นเคย แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังอาการเหล่านั้น คือการทำงานของ “แขกไม่ได้รับเชิญ” ที่ชื่อว่า ไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV)
เจ้าไวรัสตัวนี้มี 2 สายพันธุ์หลัก ๆ ที่คอยสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายของเรา
- HSV-1 จอมซุ่มโจมตีบริเวณช่องปาก
สายพันธุ์นี้เป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิด “เริมที่ริมฝีปาก” ที่เราเรียกกันติดปากว่า “ไข้ทรพิษปาก” หรือ “ไข้จับสั่น” จะปรากฏเป็นตุ่มน้ำใสๆ ขนาดเล็ก และมักจะมาพร้อมอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บปวด แต่ HSV-1 นี้ไม่ได้จำกัดตัวเองที่ปากนะ มันสามารถไปโผล่ที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เหมือนกัน
- HSV-2 ผู้ร้ายประจำอวัยวะเพศ
ถ้าพูดถึง “เริมที่อวัยวะเพศ” ต้องยกให้สายพันธุ์ HSV-2 เป็นที่ 1 สายพันธุ์นี้คือตัวการที่ทำให้เกิดตุ่มน้ำใสๆ ผื่นแดง และแผลบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งนอกจากเกิดความไม่สบายตัวแล้ว อาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่ที่น่าสนใจคือ สายพันธุ์ HSV-1 ที่เป็นตัวการที่ให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้เช่นกัน
แล้วเริมซ่อนเร้นอย่างไร?
ที่น่าตกใจคือ หลังจากที่เราได้รับเชื้อ HSV ไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหนก็ตาม เจ้าไวรัสตัวนี้จะไม่ได้หายไปไหน แต่จะไปซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทของเราอย่างเงียบๆ คล้ายกับการจำศีล รอโอกาสที่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิตก เครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อไหร่ที่ร่างกายมีสัญญาณอ่อนแอ มันก็จะฉวยโอกาส “ตื่นขึ้นมา” และสำแดงอาการของโรคออกมาให้เราได้เห็นนั่นเอง
สังเกตอย่างไร?
อาการเริ่มจากความรู้สึกคัน เจ็บแสบ หรือปวดบริเวณที่จะเกิดผื่น หลังจากนั้นจะเกิดตุ่มน้ำใส ๆ ขนาดเล็กหลายตุ่มขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม โดยบริเวณที่พบบ่อยคือริมฝีปาก จมูก และบริเวณอวัยวะเพศ ตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตกออกเป็นแผลตื้นๆ มีอาการเจ็บปวด จากนั้นจะตกสะเก็ดและหายไปได้เองภายใน 7-14 วัน
สำหรับโรคเริมที่อวัยวะเพศ อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดปัสสาวะ รู้สึกเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาจมีไข้
เป็นแล้ว… น่ากังวลแค่ไหน?
น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคเริมให้หายขาดจากร่างกายได้ เมื่อติดเชื้อแล้ว ไวรัสจะอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีอาการของโรคอยู่ตลอดเวลา ไวรัสจะก่อให้เกิดอาการเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น
แม้โรคเริมจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถสร้างความรำคาญ เจ็บปวด และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดอาการบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ในบางกรณี เช่น ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าปกติได้
ทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น?
แม้จะรักษาไม่หายขาด แต่มีแนวทางการดูแลและรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ลดความรุนแรงและลดความถี่ของการกลับเป็นซ้ำของโรคได้
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทานหรือทา เพื่อช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ หากเป็นบ่อยครั้ง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องเพื่อยับยั้งการกลับมาของโรค
การดูแลตนเอง
- รักษาสุขอนามัยที่ดี ล้างมือให้สะอาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลโดยตรง
- ไม่บีบ แกะ หรือเกาตุ่มน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- ใช้ผ้าขนหนูหรือของใช้ส่วนตัวแยกจากผู้อื่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการซ้ำ
การป้องกันการแพร่เชื้อ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด งดการจูบ หรือการมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีอาการของโรค
- ใช้ถุงยางอนามัย แม้ถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก
- เปิดเผยสถานะ หากคุณรู้ว่าตนเองติดเชื้อโรคเริม การเปิดเผยสถานะกับคู่นอนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจและป้องกันตนเองได้
เมื่อไหร่ที่ควรมาพบแพทย์?
- สงสัยว่าตนเองเป็นโรคเริม หรือมีอาการที่เข้าข่าย
- มีอาการของโรคเริมเป็นครั้งแรก หรืออาการรุนแรง
- มีอาการของโรคเริมกลับมาบ่อยครั้ง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น
- มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีอาการของโรคเริม
- มีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกัน
บทสรุป
โรคเริมเป็นโรคที่พบได้บ่อยและสามารถดูแลจัดการได้ แม้จะรักษาไม่หายขาด แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง การดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ และการปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย จะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เสมอ โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยายินดีให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพของคุณอย่างใกล้ชิด
ที่มา: กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล https://www.rama.mahidol.ac.th/










