กรดไหลย้อนที่คิดว่าใช่ แท้จริงอาจเป็นไส้เลื่อนกระบังลม

เมื่อมีอาการแสบร้อนที่หน้าอกหลายคนมักคิดถึงอาการของโรคกรดไหลย้อน ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีอีกโรคหนึ่งที่มีอาการใกล้เคียงกัน แต่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ ไส้เลื่อนกระบังลม โดยเฉพาะคนที่มีปัญญาโรคอ้วน จะพบไส้เลื่อนมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าและการที่อายุที่มากขึ้น ยิ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น หากไม่รีบรักษาอาจทำให้ไส้เลื่อนขาดเลือดและอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าว การพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อตรวจวินิจฉัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รับมือกับไส้เลื่อนกระบังลมได้ทันท่วงที
รู้จักไส้เลื่อนกระบังลม
กระบังลมเป็นอวัยวะที่กั้นอวัยวะภายในช่องอกและช่องท้องออกจากกัน ซึ่งโดยปกติจะมีรูเล็ก ๆ ให้หลอดอาหารลอดผ่านจากทรวงอกลงสู่กระเพาะในช่องท้องเพื่อย่อยอาหาร นอกจากนี้กระบังลมยังมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารที่อยู่บริเวณทรวงอกได้ การเกิดไส้เลื่อนกระบังลม (Diaphragmatic Hernia) เป็นภาวะที่รูดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้น มีผลทำให้อวัยวะในช่องท้องอย่างกระเพาะอาหารส่วนบนสามารถเลื่อนขึ้นมาอยู่บริเวณทรวงอกผ่านทางรูของกระบังลม เมื่อเป็นไส้เลื่อนกระบังลมจึงส่งผลให้มีอาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อน และอาจร้ายแรงถึงขั้นอวัยวะที่เข้าไปในทรวงอกเกิดขาดเลือด อุดตัน และมีเน่าแตกทะลุได้
ปัจจัยเสี่ยงไส้เลื่อนกระบังลม
สาเหตุของไส้เลื่อนกระบังลมนั้นไม่ปรากฏชัดเจน แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไส้เลื่อนกระบังลม ได้แก่ ภาวะที่มีการเพิ่มความดันในช่องท้องมากขึ้นหรือภาวะที่หูรูดอ่อนแอลง ได้แก่
- บาดเจ็บบริเวณกระบังลม
- ภาวะตั้งครรภ์
- อ้วน น้ำหนักเกินเกณฑ์
- ไอเรื้อรัง
- การเบ่งขณะขับถ่าย
- อายุเกิน 50 ปี เนื่องจากความเสื่อมตามวัย
อาการไส้เลื่อนกระบังลม
อาการไส้เลื่อนกระบังลมระยะแรก อาจจะไม่แสดงอาการ มักตรวจพบจากการตรวจสุขภาพ หากไม่แสดงอาการที่ส่งผลกระทบกับร่างกาย อาจไม่ต้องทำการรักษา แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยบางส่วนจะมาพบแพทย์ด้วยอาการของกรดไหลย้อน โดยอาการที่พบบ่อย คือ แสบร้อนที่หน้าอก อาการจะรุนแรงเมื่อนอน ก้มตัว หรืองอตัว, เรอกินเปรี้ยวในลำคอ สะอึกบ่อยหลังทานอาหาร เจ็บคอ บางครั้งอาจจะมาด้วยอาการที่ใกล้เคียงกับโรคอื่นได้ เช่น อาการหอบหืด ไอเรื้อรัง กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก ซึ่งจำเป็นต้องตรวจอย่างละเอียดโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยแยกโรคได้อย่างถูกต้อง
ตรวจเช็กไส้เลื่อนกระบังลม
การตรวจวินิจฉัยโรคไส้เลื่อนกระบังลม ผู้ป่วยมักมีประวัติอาการคล้ายกรดไหลย้อนและตรวจพบส่วนใหญ่ได้จากการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy), การกลืนแป้งและ X - ray (Upper GI Study) เพื่อดูตำแหน่งและการทำงานของหลอดอาหาร หรือการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Abdominal Scan), การดูจังหวะการหดรัดตัวกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารและเพื่อหาตำแหน่ง (Esophageal Manometry)
รักษาไส้เลื่อนกระบังลม
การรักษาไส้เลื่อนกระบังลมในระยะแรกที่อาการไส้เลื่อนเป็นไม่มาก อาจรักษาด้วยการทานยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการติดตามอาการจากแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
- 1.1 การรับประทานอาหาร
- ทานอาหารมื้อละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ และเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารแล้วนอนทันที ควรรอประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน บุหรี่ หมากฝรั่ง
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง, ของทอด, รสเผ็ด, รสเปรี้ยว อาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย เช่น เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ ๆ, ถั่ว, ช็อกโกแลต เป็นต้น
- 1.2 ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- 1.3 พฤติกรรมการนอน
- ทานอาหารเสร็จทิ้งระยะเวลาประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- นอนยกหัวไหล่สูงหรือนอนตะแคงซ้าย
2. การรับประทานยา ได้แก่ ยาลดกรด, ยาลดการสร้างกรด, ยากระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารและหูรูดหลอดอาหาร เป็นต้น
3. การผ่าตัดไส้เลื่อนกระบังลม ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นดังกล่าวไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ จำเป็นต้องผ่าตัดรักษา ในอดีตแพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเพื่อเข้าไปเย็บซ่อมรูบริเวณกระบังลมให้แคบลง ซึ่งวิธีนี้ผู้ป่วยจะมีแผลยาวกลางหน้าท้องขนาดใหญ่และเจ็บแผลหลังผ่าตัดได้ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความสามรถของแพทย์เฉพาะทางที่มากขึ้น ทำให้การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery : MIS) เข้ามามีบทบาทในการผ่าตัดผู้ป่วย โดยแพทย์จะทำการเจาะรูขนาดเล็กบริเวณผนังหน้าท้อง และในรายที่รูไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ แพทย์จะใช้ตาข่ายชนิดพิเศษเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่ทำให้ไส้เลื่อนเคลื่อนที่ออกมาอีกด้วย ซึ่งช่วยลดอัตราการกลับมาเป็นไส้เลื่อนซ้ำได้ ด้วยการผ่าตัดวิธีนี้รอยแผลหลังผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก 5 - 10 มิลลิเมตร ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยลงและสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ผ่าตัดผ่านกล้องรักษาไส้เลื่อนกระบังลม
การผ่าตัดไส้เลื่อนผ่านกล้องส่องผนังหน้าท้องจำเป็นจะต้องใช้ทีมศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญด้านการผ่าตัดผ่านกล้องมากกว่าการผ่าตัดไส้เลื่อนบริเวณอื่น ๆ เช่น บริเวณขาหนีบหรือหน้าท้อง เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ใกล้กับอวัยวะสำคัญ ได้แก่ เส้นเลือดใหญ่และเส้นประสาทขนาดเล็กจำนวนมาก แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันซึ่งใช้กล้องความชัดระดับเทคโนโลยี 4K Ultra High Definition ช่วยให้ศัลยแพทย์มองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้อง เส้นเลือด และเส้นประสาทขณะเลาะพังผืดได้ชัดเจน ทำให้การผ่าตัดแก้ไขมีความถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้เร็ว
เพราะไส้เลื่อนกระบังลมเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่หากเป็นโรคนี้อาจส่งผลกระทบกับหลอดอาหารจากภาวะกรดไหลย้อน ไม่ว่าจะเป็นแผลที่หลอดอาหาร หลอดอาหารตีบแคบ หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง และอาจร้ายแรงถึงขั้นมะเร็งหลอดอาหารได้ การสังเกตอาการกรดไหลย้อนที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาการผิดปกติต่าง ๆ แล้วรีบพบแพทย์ผู้ชำนาญการทันทีจะช่วยให้ตรวจเช็กสุขภาพทันเวลา ทำการรักษาได้โดยเร็ว กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
ข้อมูล: นพ.คมเดช ธนวชิระสิน ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก และผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อลดน้ำหนัก โรงพยาบาลกรุงเทพ
สอบถามเพิ่มเติม
ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ
ชั้น 1 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ
โทร. 0 2310 3000 หรือ โทร. 1719
Email: info@bangkokhospital.com