การผ่าตัดส่องกล้องกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG

6 นาทีในการอ่าน
การผ่าตัดส่องกล้องกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นอาการที่พบบ่อย ส่วนใหญ่มักเป็นชั่วคราว เช่น อ่อนเพลียหลังทำงานหนัก หลังออกกำลังกาย ในผู้ที่มีอาการอ่อนแรงทั้งตัวหรือมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเป็นสิ่งผิดปกติ และมักเกี่ยวข้องกับโรคทางเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ โรคนี้ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่พบบ่อยชนิดหนึ่ง คือ โรคไมแอสทีเนีย กราวิส (Myasthenia Gravis) หรือมักเรียกสั้น ๆ ว่าเอ็มจี (MG)
 

โรค MG คืออะไร

โรค MG (Myasthenia Gravis) คือ โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สร้างโปรตีนผิดปกติมายับยั้งการทำงานระหว่างรอยต่อของปลายประสาทกับกล้ามเนื้อ ทำให้การส่งผ่านกระแสประสาทด้วยสารสื่อประสาทอเซติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นไปได้ไม่เต็มที่ จึงเกิดการอ่อนแรงขึ้น โรคนี้พบราว 3 รายต่อประชากร 100,000 คน ทั้งวัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์และผู้ชายวัยสูงอายุ  ผู้ป่วยแต่ละรายมีอาการและการความรุนแรงต่างกันได้มาก ในรายที่มีอาการน้อยมักเป็นที่กล้ามเนื้อหนังตาหรือควบคุมการเคลื่อนไหวของตา ทำให้หนังตาตก เห็นภาพซ้อน หากกล้ามเนื้อการพูดผิดปกติจะมีอาการเสียงขึ้นจมูก กลืนลำบาก สำลักง่าย ในรายที่อาการรุนแรงจะทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ล้า และเพลียง่าย หากรุนแรงมากอาจทำให้หายใจลำบากถึงกับต้องใส่ท่อและต้องใช้เครื่องหายใจ อาการเหล่านี้มักเป็นมากขึ้นเมื่อใช้งานกล้ามเนื้อนั้น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และอาการจะดีขึ้นหลังพัก

เนื่องจากอาการข้างต้นอาจเป็นอาการที่เกิดจากโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคเส้นประสาท โรคเซลล์ประสาทสั่งการ  แพทย์จึงต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคอื่นออกและยืนยันโรค MG เช่น การตรวจประสาทสรีรวิทยา โดยใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทซ้ำ ๆ การเจาะเลือดหาโปรตีนก่อโรค (แอนติบอดี) บางครั้งอาจใช้น้ำแข็งประคบตาในรายที่มีหนังตาตก ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นหรือในรายที่จำเป็นสามารถใช้การให้ยาที่จำเพาะกับโรคนี้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้ ผู้ป่วยบางรายควรได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของช่องอกเพื่อหาต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้นที่เรียกว่า ต่อมไทมัส ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือหาโรคภูมิคุ้มกันต้านตนเองอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกันได้


แนวทางการรักษา MG

โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังแต่รักษาได้ผลดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตอบสนองต่อการรักษา สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ผู้ป่วยควรวางแผนการรักษากับแพทย์ผู้ชำนาญการและพิจารณาตามผู้ป่วยแต่ละราย โดยการรักษาแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

  1. การรักษาด้วยยา
    ในรายที่มีอาการน้อย เช่น หนังตาตก มักใช้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการที่ชื่อว่า ไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) หรือชื่อการค้าว่า เมสตินอน (Mestinon®) ยานี้จะเสริมให้สารสื่อประสาทที่รอยต่อระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น ในรายที่มีอาการมากขึ้นควรได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ หรือร่วมกับยาอื่นที่มีฤทธิ์แรงขึ้น หากใช้ยาเดี่ยวไม่ได้ผล ผู้ป่วยต้องได้รับยาขนาดสูงในช่วงแรกเพื่อควบคุมโรคให้ได้ในเวลาอันสั้นและลดยาลงช้า ๆ เพื่อควบคุมโรคไม่ให้กำเริบในระยะยาว  แพทย์จะค่อย ๆ ปรับยาตามการสนองของผู้ป่วยแต่ละราย ยาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงต่างกันจึงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยไม่ควรลดหรือหยุดยาเอง เนื่องจากโรคอาจกำเริบรุนแรงได้ ทำให้กล้ามเนื้อการหายใจอ่อนแรง กลืนลำบาก สำลัก หายใจเหนื่อยจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ในกรณีนี้จำเป็นต้องใช้ยาพิเศษที่เป็นสารสกัดภูมิคุ้มกันจากน้ำเหลือง (Intravenous Immunoglobulin) หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลืองในช่วงวิกฤติและให้การรักษาต่อเนื่องเพื่อควบคุมโรคในระยะยาว
  2. การรักษาด้วยการผ่าตัด
    ต่อมไทมัส (Thymus Gland) เป็นอวัยวะในร่างกายที่ทำหน้าที่เป็นทั้งเนื้อเยื่อน้ำเหลืองและต่อมไร้ท่อ โดยตั้งอยู่บริเวณหน้าต่อหัวใจและเส้นเลือดแดงใหญ่หลังต่อกระดูกหน้าอก (Sternal Bone or Breastbone) ตัวต่อมมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับผีเสื้อ มีหน้าที่หลักในการทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด T cell เติบโตอย่างสมบูรณ์และผลิตฮอร์โมนไทโมซินเพื่อกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด T cell เช่นกัน ในภาวะปกติต่อมไทมัสจะเจริญเติบโตและขยายขนาดจนถึงช่วงวัยรุ่นและจะค่อย ๆ ฝ่อลงจนเป็นเพียงเนื้อเยื่อไขมันเมื่อเข้าสู่ช่วงผู้ใหญ่

( อ่าน : เนื้องอกต่อมไทมัส (THYMOMA) อย่าชะล่าใจหมั่นสังเกตตัวเอง )

 

Myasthenia Gravis

ต่อมไทมัสเกี่ยวข้องกับโรค MG ได้อย่างไร

เนื่องจากโรคเอ็มจีเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติและต่อมไทมัสเป็นต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตและทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด T cell เติบโตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นส่วนประกอบหลักของภูมิคุ้มกัน จึงมีแพทย์ผ่าตัดในอดีตได้ลองผ่าตัดต่อมชนิดนี้ออกและพบว่าได้ผลดี จึงมีการรักษาด้วยวิธีนี้เรื่อยมา โดยล่าสุดในปี 2016 ได้มีการทำการศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยรักษาด้วยยาอย่างเดียว เทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต่อมไทมัสออก พบว่ากลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดสามารถลดยาลงได้มากกว่าและมีผลข้างเคียงโดยรวมน้อยกว่ากลุ่มรักษาด้วยยาอย่างเดียว1


วิธีการผ่าตัดมีกี่แบบ

การผ่าตัดต่อมไทมัสแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ

  1. การผ่าตัดแบบเปิด คือ การผ่าตัดกระดูกกลางหน้าอก (Median Sternotomy) ซึ่งต้องมีการลงแผลที่ยาวกลางหน้าอก ตัดกระดูก และใช้อุปกรณ์ถ่างขยายหน้าอก ซึ่งเป็นวิธีแรกเริ่มที่ศัลยแพทย์ใช้ในการนำต่อมไทมัสออก
  2. การผ่าตัดส่องกล้อง (Video – Assisted Thoracic Surgery หรือ VATS) คือ การผ่าตัดส่องกล้องอวัยวะในช่องอก เป็นการผ่าตัดโดยใช้เลนส์ยาวร่วมกับอุปกรณ์ผ่าตัดแบบยาวผ่านทางช่องระหว่างซี่โครงโดยไม่มีการถ่างขยายหรือตัดกระดูก มีความแตกต่างกับการผ่าตัดแบบเปิด คือ ความเจ็บปวดหลังผ่าตัดต่ำกว่า แผลขนาดเล็ก และอยู่ข้างหรือใต้ราวนม มีผลต่อความสวยงาม กลับไปทำงานได้เร็วขึ้น และระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 1 – 3 วันเทียบกับ 5 – 7 วันสำหรับผ่าตัดแบบเปิด

    ในอดีตการผ่าตัดส่องกล้องจะมีแผลผ่าตัดประมาณ 3 – 4 แผล (Multiportal VATS) โดยจะมีแผลแรกสำหรับกล้องส่องผ่าตัด Thoracoscope แผลที่สองสำหรับอุปกรณ์ดึงรั้ง แผลที่สามสำหรับอุปกรณ์ผ่าตัดและอุปกรณ์ตัดเย็บที่โดยขนาดแผลนี้มีขนาด 3 – 4 เซนติเมตร โดยให้ตำแหน่งกล้องบริเวณชายโครงช่องกระดูกซี่โครงที่ 7 – 8 ส่วนตำแหน่งแผลผ่าตัดหลักและแผลสำหรับอุปกรณ์ช่วยดึงจะอยู่ช่องกระดูกซี่โครงที่ 4 – 6 บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง จึงเห็นได้ว่าถึงแม้จะใช้แผลเล็กและไม่มีการถ่างขยายซี่โครง แต่ว่าแผลผ่าตัดต้องผ่าผ่านช่องซี่โครงหลายช่อง โดยปกติร่างกายมนุษย์มีเส้นประสาทวิ่งชิดขอบล่างของกระดูกซี่โครงแต่ละซี่ การใส่อุปกรณ์เข้าไปจึงทำให้คนไข้ยังมีโอกาสที่จะมีอาการเจ็บแผลหลังผ่าตัดอยู่ได้จากการระคายเคืองของเส้นประสาทหลายระดับ

 

การผ่าตัดส่องกล้องแผลเดียวเป็นอย่างไร

ในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องเพิ่มขึ้นไปอีก โดยการผ่าตัดเพียงแค่แผลเดียว (Uniportal VATS) โดยอุปกรณ์ทั้งหมดนั้นจะผ่านลงไปในแผลขอบหลังของราวนมขนาดประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร ซึ่งการผ่าตัดวิธีนี้นั้นใช้เทคนิคในการผ่าตัดสูงและอุปกรณ์ยาวพิเศษ แพทย์ผู้ผ่าตัดต้องมีความชำนาญการผ่าตัดส่องกล้องชนิด 2 และ 3 แผลมาก่อน โดยคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดชนิดแผลเดียวจะมีอาการเจ็บแผลน้อยกว่าผ่าตัด 3 แผลและมีความพึงพอใจหลังการผ่าตัดมากกว่า โดยที่ผลการผ่าตัดไม่ต่างกัน2-5


วิธีการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย MG

เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง  ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดจนกลับมาเป็นปกติ  เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับสเตียรอยด์รักษาในระยะยาว การป้องกันผลข้างเคียงจึงมีความสำคัญมาก ที่พบบ่อย เช่น  อยากอาหารเพิ่มขึ้น จึงควรควบคุมอาหารโดยลดอาหารที่มีพลังงานหรือคาร์โบไฮเดรตสูง เพื่อป้องกันภาวะอ้วนและเบาหวาน  ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโรคจากผู้อื่นที่ป่วย ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี และวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่จำเป็น บางรายอาจเกิดความดันโลหิตสูง  ต้อหิน  หรือต้อกระจก แพทย์จึงควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นระยะ ๆ ในรายที่คาดว่าจะได้รับยาหลายปีควรได้แคลเซียมและวิตามินดีเสริมเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน  ผู้ป่วยควรออกกำลังกายสม่ำเสมอให้แข็งแรง ควบคุมน้ำหนักตัว รับประทานผักและผลไม้ที่สุกสะอาดเพิ่มขึ้น ลดอาหารจำพวกแป้ง ข้าว น้ำตาลลง

โรค MG เป็นโรคทางภูมิคุ้มกันที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดอาการได้ทั้งทางตา การกลืน การพูด และแขนขา โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังแต่รักษาได้ผลดี แบ่งเป็นการรักษาด้วยยาและการรักษาด้วยการผ่าตัด ผู้ป่วยมักได้รับยากดภูมิคุ้มกันในระยะยาว จึงควรเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG

โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ พร้อมให้การดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกครั้ง 


อ้างอิง :

1. Gil I. Wolfe et al, Randomized Trial of Thymectomy in Myasthenia Gravis. N Engl J Med 2016; 375:511-522

2. Shen Y et al. Single versus multiple-port thoracoscopic lobectomy for lung cancer: a propensity-matched study. Eur J Cardiothorac Surg. 2016 Jan;49 Suppl 1:i48-53

3. Xu GW et al .A prospective comparative study examing the impact of uniportal and three portal video-assisted thoracic surgery on short-term quality of life in lung cancer. Zhonghua Wai Ke Za Zhi. 2018 Jun 1;56(6):452-457

4. Mu JW et al. A Matched Comparison Study of Uniportal Versus Triportal Thoracoscopic Lobectomy and Sublobectomy for Early-stage Nonsmall Cell Lung Cancer. Chin Med J (Engl). 2015 Oct 20;128(20):2731-5.

5. Young R et al.  Is uniport thoracoscopic surgery less painful than multiple port approaches? Interact Cardiovasc Thorac Surg. 2015 Mar;20(3):409-14

ข้อมูลโดย

Doctor Image

นพ. ผดุงเกียรติ ตั้งพิรุฬห์ธรรม

ศัลยศาสตร์ทรวงอก

นพ. ผดุงเกียรติ ตั้งพิรุฬห์ธรรม

ศัลยศาสตร์ทรวงอก

Doctor profileDoctor profile
Doctor Image

ศ. นพ. ก้องเกียรติ กูณฑ์กันทรากร

ประสาทวิทยา

ศ. นพ. ก้องเกียรติ กูณฑ์กันทรากร

ประสาทวิทยา

Doctor profileDoctor profile

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก

ชั้น 2 โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

เปิดให้บริการ ทุกวัน เวลา 07.00 – 16.00 น.