ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

7 นาทีในการอ่าน
ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ
โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

การตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากตรวจพบมะเร็งในระยะแรกเริ่มย่อมช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการเสียชีวิต ทั้งยังเพิ่มโอกาสหายจากโรคได้ ซึ่งการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งต่าง ๆ ในปัจจุบันได้พัฒนาเทคนิคและวิธีการจนเป็นที่ยอมรับและมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือกังวลว่าจะเป็นมะเร็งให้รับรู้ความเสี่ยงและดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุที่ยืนยาว

ตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการเจอมะเร็งปอดตั้งแต่ระยะแรกเริ่มย่อมเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีสำหรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดที่ให้ผลการตรวจชัดเจน คือ Low – Dose Computed Tomography (LDCT) เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีในปริมาณต่ำ มีความไวสูงในการตรวจพบก้อนที่ปอดตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ไม่แนะนำการใช้ Chest X-ray หรือการตรวจเสมหะเป็นวิธีหลักในการคัดกรอง เนื่องจากความไวต่ำ

สำหรับ Low Dose CT Screening Lung Cancer ช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดได้ถึง 20% เพราะหากรอจนแสดงอาการมักพบเมื่อเป็นระยะที่ 4 โอกาสรอดไม่ถึง 20% แต่หากพบในระยะแรกมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ที่ 90% การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเป็นประจำทุกปีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

  • ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่สูบบุหรี่เยอะ สูบบุหรี่เป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่น้อยกว่า 15 ปี
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยมะเร็งปอด
  • ผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรืออยู่กับสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยงเป็นเวลานาน เช่น ฝุ่น PM 2.5 ควันต่าง ๆ  ฯลฯ

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเสี่ยงมะเร็งเต้านม การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจึงมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแบบดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ แม้จะไม่มีความเสี่ยงหรือคนในครอบครัวเป็นก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมทั้งสองวิธีควบคู่กัน

  • การตรวจดิจิทัลแมมโมแกรม (Digital Mammogram) เป็นเทคโนโลยีการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษที่มีความละเอียดสูง สามารถเห็นจุดหินปูนหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติได้อย่างชัดเจนแม้มีขนาดเล็กมาก ช่วยตรวจหามะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก 
  • ตรวจอัลตราซาวนด์มะเร็งเต้านม (Ultrasound Breast) เป็นการตรวจโดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านมเพื่อตรวจความผิดปกติขององค์ประกอบเนื้อเยื่อในเต้านมว่าเป็นเนื้อเยื่อปกติ ถุงน้ำ หรือก้อนเนื้อ หากพบก้อนเนื้อเต้านมสามารถระบุความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งได้

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

ข้อบ่งชี้ในการคัดกรองมะเร็งเต้านม

  1. ผู้หญิงทั่วไปที่มีความเสี่ยงปานกลาง (ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น)
    • อายุ 40 ปีขึ้นไปควรเริ่มตรวจคัดกรอง ทั้งนี้แนวทางแนะนำของแต่ละประเทศอาจต่างกันเช่น
      • อายุ 40 – 49 ปี พิจารณาตามดุลยพินิจแพทย์
      • อายุ 50 – 74 ปี แนะนำให้ตรวจ Mammogram ทุก 1 – 2 ปี
  2. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง อาจเริ่มคัดกรองเร็วขึ้น (เช่น อายุ 25 – 30 ปี) และใช้วิธีตรวจมากกว่าหนึ่งอย่าง เช่น
    • มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่
    • มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2
    • คยได้รับรังสีบริเวณทรวงอกช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น
    • เคยมีมะเร็งเต้านมมาก่อน

วิธีคัดกรองมะเร็งเต้านม

  1. Mammography (แมมโมแกรม) เป็นวิธีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการคัดกรอง เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้อย่างชัดเจน
  2. Breast Ultrasound (อัลตราซาวนด์เต้านม) มักใช้ร่วมกับแมมโมแกรมในกรณีที่เต้านมหนาหรือในคนอายุน้อย ช่วยแยกชนิดของก้อนว่าเป็นของแข็งหรือถุงน้ำ
  3. MRI เต้านม แนะนำสำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น มียีน BRCA Mutation ไม่ใช้เป็นการตรวจคัดกรองทั่วไป เนื่องจากต้นทุนสูงไม่แนะนำเป็นการคัดกรองหลัก แต่แนะนำให้รู้จักลักษณะเต้านมของตนเองเพื่อสังเกตความผิดปกติ
  4. การตรวจโดยแพทย์ (Clinical Breast Exam: CBE) แพทย์จะตรวจคลำเต้านมปีละครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่ยังไม่ได้ตรวจแมมโมแกรม

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งตับ  

​​​​มะเร็งตับเป็นโรคมะเร็งที่พบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ที่น่ากังวลคือไม่แสดงอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้น กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวอีกทีมักรุนแรงและอยู่ในระยะลุกลาม การตรวจคัดกรองตับในผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากพบว่าเป็นมะเร็งตับจะได้รีบรักษาก่อนรุนแรงและเพิ่มโอกาสหายจากโรคได้ ควรตรวจคัดกรองทุก 6 เดือน โดยใช้วิธีตรวจแบบเดียวหรือหลายวิธีตรวจร่วมกันตามที่แพทย์แนะนำ

  • ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจหาความผิดปกติต่าง ๆ และก้อนที่บริเวณตับ โดยแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยเนื้องอกและมะเร็งตับได้อย่างชัดเจน
  • ตรวจเลือดเพื่อวัดระดับ Alphafetoprotein (AFP) สารโปรตีนที่ตรวจพบในเลือด หากค่าสูงเกินกำหนดคือ อาจบ่งบอกว่าเป็นเนื้องอกในตับ โรคตับ มะเร็งตับ
  • ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี (Anti – HCV) เพื่อประเมินความเสี่ยงและเฝ้าระวังการเป็นมะเร็งตับ มีหลักฐานทางการแพทย์พบว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อรังเป็นสาเหตุหลักการเกิดโรคมะเร็งตับ 

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

  1. ผู้ป่วยโรคตับแข็ง (Cirrhosis) ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น
    • ตับอักเสบเรื้อรัง B หรือ C
    • ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง
    • โรคไขมันพอกตับ (NAFLD/NASH)
  2. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง (Chronic HBV) ที่มีความเสี่ยง แม้ยังไม่เกิดตับแข็ง เช่น
    • ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี
    • ผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี
    • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
    • มีค่า HBV DNA สูง หรือ ALT ผิดปกติเรื้อรัง
  3. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี (Chronic HCV) ที่มีพัฒนาการเป็นตับแข็ง

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตอย่างกินอาหารปิ้งย่างและอาหารแปรรูปมากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เครียดสูง ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะช่วยให้ค้นพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและลดอัตราการเสียชีวิตได้ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ประกอบด้วย

  1. ตรวจอุจจาระหาเลือด (FOBT/FIT) แนะนำให้ตรวจปีละ 1 ครั้ง ได้แก่
    • FOBT (Fecal Occult Blood Test) หรือ FIT (Fecal Immunochemical Test)
    • ตรวจหาเลือดที่มองไม่เห็นในอุจจาระ
  2. ตรวจ DNA ในอุจจาระ (Stool DNA Methylation for Colorectal Cancer Screening) เป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม (DNA) ในรูปแบบ DNA Methylation ที่ทำให้เซลล์ผิดปกติเติบโตและแพร่กระจายรวดเร็วมากขึ้นในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเซลล์ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นมะเร็ง
  3. ตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนล่างด้วยกล้อง (Sigmoidoscopy) แนะนำให้ตรวจทุก 5 ปี (ถ้าควบคู่กับ FIT ทุกปี) 
  4. ตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดด้วยกล้อง (Colonoscopy) แนะนำให้ตรวจทุก 10 ปี หากไม่พบสิ่งผิดปกติ
  5. ตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Colonography (Virtual Colonoscopy) โดยใช้ CT Scan จำลองภาพลำไส้ใหญ่ แนะนำให้ตรวจทุก 5 ปี

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

  • ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง
  • ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ปริมาณมาก
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมากพบมากในผู้ชายสูงวัย หากเป็นแล้วส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิต ทั้งการอุดตันในท่อปัสสาวะ ทำลายเซลล์ปกติของต่อมลูกหมาก หากรุนแรงลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ อาจมีภาวะทุพลภาพได้ การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ประกอบด้วย

  1. ตรวจเลือดหา PSA (Prostate – Specific Antigen) เป็นการตรวจวัดระดับโปรตีนที่สร้างจากต่อมลูกหมาก
    • ค่าปกติ < 4.0 ng/mL (แต่มีความแปรปรวนตามอายุ)
    • หากค่าสูงอาจเกิดจากมะเร็ง, ต่อมลูกหมากโต หรือต่อมลูกหมากอักเสบ
  2. ตรวจทางทวารหนัก (Digital Rectal Examination, DRE) แพทย์ใช้นิ้วสอดทางทวารหนักเพื่อตรวจขนาด รูปร่าง และความแข็งของต่อมลูกหมาก
  3. การประเมินร่วมกัน 
    • ใช้ผล PSA + DRE เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรอง
    • หากผลผิดปกติอาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI หรือ Biopsy (ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจ)

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

  • ผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ชายที่ขับถ่ายผิดปกติ เช่น ปัสสาวะติดขัด ถ่ายไม่สุด อาจมีเลือดปน
  • ผู้ชายที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ผู้ชายที่รับประทานเนื้อสัตว์ไขมันสูง
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 

มะเร็งปากมดลูกพบบ่อยในผู้หญิงไทย เกิดจากการติดเชื้อ HPV ที่ก่อมะเร็งหรือไม่ก่อมะเร็งก็ได้ ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการผิดปกติจนกระทั่งอาการเริ่มรุนแรงจะทำให้เลือดออกทางช่องคลอด ตกขาวผิดปกติ มีการปวดร่วมด้วย การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจึงสำคัญมาก เพราะช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตให้ลดลง ประกอบด้วย

  1. ตรวจเซลล์ผิดปกติที่บริเวณปากมดลูก Pap smear (Papanicolaou Test) แนะนำให้ตรวจทุก 3 ปีหากผลปกติ
  2. ตรวจหาเชื้อ Human Papillomavirus (โดยเฉพาะสายพันธุ์ก่อมะเร็ง) (HPV DNA Test) แนะนำให้ตรวจทุก 5 ปี หรือใช้ร่วมกับ Pap Smear (Co – Testing) ทุก 5 ปี
  3. ตรวจด้วยน้ำส้มสายชูเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Visual Inspection with Acetic Acid – VIA) โดยดูปากมดลูกด้วยสายตาหลังทาน้ำส้มสายชู วิธีนี้นิยมใช้ในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด

ทั้งนี้กรมอนามัยแนะนำแนวทางการตรวจคือผู้หญิงอายุ 30 – 60 ปี ควรเข้ารับการคัดกรองทุก 5 ปี ด้วย VIA หรือ Pap Smear หากผลตรวจคัดกรองผิดปกติจะต่อด้วย Colposcopy หรือ Biopsy 

กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจ

  • ผู้หญิงอายุ  25 – 65 ปี 
  • ผู้หญิงที่มีประวัติเคยมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้หญิงที่ไม่มีประวัติการตัดมดลูกแบบ Total Hysterectomy ที่ไม่ได้มีข้อบ่งชี้จากโรคมะเร็งปากมดลูก
  • ผู้หญิงที่ไม่มีประวัติเป็นมะเร็งปากมดลูก ในกลุ่มนี้อาจต้องตรวจติดตามเป็นพิเศษ

ทำไมตรวจคัดกรองมะเร็งถึงสำคัญ

ตรวจคัดกรองมะเร็งต่าง ๆ

การตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดต่าง ๆ เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น และมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพราะหากตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและมีโอกาสหายขาดสูงขึ้น อีกทั้งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ การตรวจคัดกรองมะเร็งจึงเป็นเรื่องที่ควรทำทุกปี ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำแนวทางที่เหมาะสมในการดูแลสุขภาพของตนเอง

โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษามะเร็งที่ไหนดี

โรงพยาบาลวัฒโนสถพร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีทันสมัย แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและมากด้วยประสบการณ์ พร้อมให้การตรวจเช็กมะเร็งชนิดต่าง ๆ เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ตลอดจนมีทีมสหสาขาคอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

แพทย์ที่ชำนาญการรักษามะเร็ง

พญ.คัคนานต์ เทียนไชย อายุรแพทย์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลวัฒโนสถ 

สามารถคลิกที่นี่เพื่อทำนัดหมายได้ด้วยตนเอง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็ง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็ง ราคาเริ่มต้นที่ 6,500 บาท

คลิกที่นี่ 

ข้อมูลโดย

Doctor Image

พญ. คัคนานต์ เทียนไชย

อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาอายุรศาสตร์

พญ. คัคนานต์ เทียนไชย

อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาอายุรศาสตร์

Doctor profileDoctor profile