เสียงรบกวนในหู อย่านิ่งนอนใจ

3 นาทีในการอ่าน
เสียงรบกวนในหู อย่านิ่งนอนใจ

แชร์

หูเป็นอวัยวะสำคัญที่เอาไว้ฟังเสียงต่าง ๆ ในชีวิต เมื่อมีเสียงรบกวนในหูหลายคนมักชะล่าใจและคิดว่าหายได้เอง จึงปล่อยไว้จนรำคาญ ทุกข์ทรมาน และอาจร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อมีเสียงรบกวนในหูจนผิดสังเกต การพบแพทย์โดยเร็วที่สุดจะช่วยให้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับหูได้

 

เสียงรบกวนในหู

เสียงรบกวนในหูเป็นเสียงที่ได้ยินโดยไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงจากภายนอก มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ได้แก่

  • เสียงฮึมฮัม 
  • เสียงพรึบพรับ
  • เสียงสะท้อน เสียงก้องในหู
  • เสียงหึ่ง ๆ 
  • เสียงดังคลิก
  • เสียงตุ้บ ตุ้บ เสียงฟู่ ตามจังหวะหัวใจหรือชีพจร
  • เสียงคล้ายเครื่องจักร
  • เสียงจิ้งหรีดร้อง
  • เสียงลม 
  • เสียงวี้ด ๆ

ซึ่งเสียงดังรบกวนในหูของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามระดับเสียง มีตั้งแต่เสียงต่ำไปจนถึงเสียงสูง สามารถเกิดขึ้นได้กับหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และจะได้ยินเสียงชัดเจนที่สุดเมื่ออยู่ในสถานที่เงียบ ๆ 

ปัญหาของเสียงรบกวนในหูที่ชัดเจนคือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำให้มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น หงุดหงิด อ่อนเพลีย เครียด วิตกกังวล มีปัญหาด้านความจำหรือการนอนหลับ เป็นต้น

 

ต้นเหตุเสียงรบกวนในหู

ตัวการที่ทำให้เกิดเสียงรบกวนในหูเกิดได้จากหลายปัจจัยและหลายสาเหตุ ได้แก่

  • ขี้หูอุดตัน เนื่องจากการสะสมของขี้หูปริมาณมาก
  • แก้วหูทะลุ เช่น หูน้ำหนวก 
  • แก้วหูอักเสบ จากหวัด ทำให้ท่อที่ต่อไปหูชั้นกลางอุดตัน เมื่อกลืนน้ำลาย ปรับลมไม่ได้จะเกิดอาการตื้อที่หู มีเสียงรบกวนในหูตามมาได้
  • อาการทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในสมอง เป็นต้น
  • ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัว เส้นเลือดแดงโป่งพอง เป็นต้น
  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เกิดความเสื่อมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นประสาทหูที่เสื่อมลง 
  • เสียงดัง ติดต่อกันเป็นเวลานาน จากงานคอนเสิร์ต เครื่องจักร อาวุธปืน ประทัด ฯลฯ 
  • ยา บางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้มีเสียงรบกวนในหูได้
  • การเปลี่ยนแรงดัน เช่น ดำน้ำลึกเกินไปแล้วขึ้นที่สูง ร่างกายปรับแรงดันไม่ทัน กระทบแรงดันในหูชั้นกลาง ส่งผลถึงการทำงานของหูชั้นใน ทำให้เกิดเสียงรบกวนในหู
  • สาเหตุอื่น ๆ  กระดูกในหูมีการงอกผิดปกติ, ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร, ไซนัสอักเสบ, หูติดเชื้อ, โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

 

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยเสียงรบกวนในหูสามารถทำได้โดย

  • ซักประวัติ ระยะเวลาที่มีเสียงรบกวนในหู เสียงสูงหรือเสียงต่ำ เสียงดังกลางวันหรือกลางคืน
  • ตรวจการได้ยิน โดยเครื่องไฟฟ้า เพื่อดูการบกพร่องทางการได้ยิน  (Audiometry)
  • ตรวจแยกเสียงและการได้ยินของปลายประสาทรับเสียงในหูชั้นใน โดยวัด SISI Score (Recruitment Test)
  • ตรวจแยกเสียงและการได้ยินส่วนประสาทรับเสียง ความล้าของสมอง (Tone Decay Test) 
  • ตรวจวัดการได้ยินโดยวิธีพิเศษ เพื่อแยกตำแหน่งรอยโรค (Bekesy Audiomety)
  • ตรวจวัดการได้ยินในระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response)

 

เสียงในหู, เสียงดังในหู

รักษาเสียงรบกวนในหู

วิธีการรักษาเสียงรบกวนในหูจะรักษาตามสาเหตุที่แท้จริงเป็นหลัก ได้แก่ 

  1. เลี่ยงสิ่งกระตุ้น ได้แก่ เสียงดัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น 
  2. เครื่องช่วยฟัง ช่วยให้ได้ยินชัดเจนขึ้นและลดอาการเสียงรบกวนในหูได้
  3. กลบเสียงในหู  ด้วยการเปิดเพลงเบา ๆ เปิดวิทยุ

 

การฟื้นฟูบำบัดด้วยยารักษา

  1. ยาคลายกังวล ยาขยายหลอดเลือด ยานอนหลับ ยาบำรุงประสาทหู ยาลดความไวประสาทหู เป็นต้น โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางอย่างเคร่งครัด
  2. การผ่าตัดผูกเส้นเลือด ผ่าตัดเนื้องอกในสมอง 

 

ดูแลสุขภาพหู

การดูแลสุขภาพหูเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ ซึ่งทำได้ไม่ยาก ดังนี้ 

  • อย่าฟังดังเกินไป / ฟังนานเกินไป 
  • ไม่ควรใส่หูฟังเวลานอนหลับ  หรือในที่เสียงดังมากเนื่องจากต้องเร่งเสียงให้ดังขึ้น 
  • อย่าปั่นหรือแคะหู

 

การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงให้พบคือหัวใจสำคัญของการรักษาเสียงรบกวนในหู ดังนั้นหากได้ยินเสียงรบกวนในหูแล้วส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน  ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางโดยเร็ว เพราะการรักษาเสียงรบกวนในหูภายใน 2 สัปดาห์นับจากวันแรกที่มีอาการช่วยเพิ่มโอกาสในการหายจากความผิดปกติได้มากยิ่งขึ้น

 


สอบถามเพิ่มเติมที่
ศูนย์การได้ยิน การพูด การทรงตัวและเสียงในหู
ชั้น 2 อาคารโรงพยาบาลกรุงเทพ
เปิดให้บริการ
จันทร์ – ศุกร์ 08.00 - 19.00 น.
วันเสาร์ อาทิตย์ 08.00 - 16.00 น.

แชร์