โรคนิ่วในถุงน้ำดีสามารถพบได้ตั้งแต่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่ชอบรับประทานของมัน ของหวาน ของทอด มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หากไม่รีบรักษาอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทันโรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
หน้าที่ของถุงน้ำดีคืออะไร
ถุงน้ำดี (Gallbladder) มีหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดีที่สร้างจากตับเพื่อให้พร้อมสำหรับการย่อยไขมัน เมื่อสารในน้ำดีเสียสมดุล ทำให้เกิดการตกตะกอนกลายเป็นนิ่ว
โรคนิ่วในถุงน้ำดีคืออะไร
นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เกิดจากการตกผลึกของแคลเซียมหรือหินปูน คอเลสเตอรอล และบิลิรูบินในน้ำดี มีลักษณะเป็นก้อน อาจเป็นก้อนเดียวหรือก้อนเล็ก ๆ หลายก้อน โดยมีสาเหตุจากทางเดินน้ำดีติดเชื้อและส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดีขาดสมดุล ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากคอเลสเตอรอล แสดงถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีผลต่อนิ่วถุงน้ำดีโดยตรง
ลักษณะของนิ่วในถุงน้ำดีเป็นอย่างไร
ลักษณะนิ่วในถุงน้ำดีมี 3 ประเภท ได้แก่
- นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมัน เนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี
- นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง และตับแข็ง
- นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) มีลักษณะคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี และตับอ่อน

นิ่วในถุงน้ำดีอาการเป็นอย่างไร
นิ่วในถุงน้ำดีส่วนมากไม่แสดงอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจอัลตราซาวนด์ แต่หากรุนแรงอาการที่พบมักเกิดหลังรับประทานอาหารมื้อเย็นหรือช่วงกลางคืน ซึ่งควรต้องพบแพทย์โดยเร็ว ได้แก่
- ท้องอืด
- แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังรับประทานอาหารไขมันสูง เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
- ปวดใต้ลิ้นปี่ ชายโครงด้านขวา
- ปวดร้าวที่ไหล่ หลังขวา
- คลื่นไส้อาเจียน (ถุงน้ำดีติดเชื้อ)
- มีไข้ หนาวสั่น
- ดีซ่าน ตัวและตาเหลือง (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- ปัสสาวะสีเข้ม (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- อุจจาระสีขาว (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- หากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงมะเร็งถุงน้ำดีได้
กลุ่มเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
- อายุและเพศ มักพบในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ผู้สูงวัยอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
- น้ำหนักเกินเกณฑ์ ผู้ที่มีภาวะอ้วน ถุงน้ำดีสลายไขมันไม่ทันและบีบตัวลดลง
- คอเลสเตอรอลสูง เมื่อคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ถุงน้ำดีบีบตัวลดลง
- ฮอร์โมน การรับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน
- โรคเบาหวาน ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น ถุงน้ำดีบีบตัวน้อยลงจากการที่น้ำตาลในเลือดสูง
- โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย เม็ดเลือดแดงแตกบ่อย สารบิลิรูบินในน้ำดีสูงขึ้น ตกตะกอนเป็นนิ่ว
- ตั้งครรภ์หลายครั้ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มคอเลสเตอรอลในน้ำดี
- ลดน้ำหนักเร็วเกินไป ผู้ที่ทำ IF ผู้ที่ถือศีลอด ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีเข้มข้นสูงขึ้น
- ยาลดไขมันในเลือดบางชนิด อาจส่งผลให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

ตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีอย่างไร
การตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีทำได้โดยการอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen) เพื่อให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีชัดเจน ซึ่งก่อนตรวจต้องงดอาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมันทุกชนิด ประมาณ 4 – 6 ชั่วโมงก่อนตรวจ แต่ยังคงดื่มน้ำเปล่าได้
รักษานิ่วในถุงน้ำดีอย่างไร
นิ่วในถุงน้ำดีมีวิธีการรักษาหลัก คือการผ่าตัดถุงน้ำดีออกพร้อมนิ่ว เพราะแม้ไม่มีถุงน้ำดีก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ โดยปัจจุบันการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีมี 3 แบบ ได้แก่
- การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) แพทย์จะทำการเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือเฉพาะ จากนั้นจะตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก วิธีนี้ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ลดโอกาสการติดเชื้อ ผู้ป่วยฟื้นตัวไว
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Cholecystectomy) แพทย์จะทำการผ่าเปิดช่องท้องบริเวณชายโครงขวา วิธีนี้มักใช้รักษาผู้ป่วยกรณีที่มีการอักเสบรุนแรงและถุงน้ำดีแตกทะลุในช่องท้อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาพังผืดจำนวนมากจนไม่สามารถผ่าตัดผ่านกล้องได้
- การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (da Vinci Xi) แพทย์จะควบคุมแขนกลที่มีเครื่องมือผ่าตัดและกล้องส่องอวัยวะภายในความละเอียดสูงด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าไปผ่าตัดในตำแหน่งที่กำหนด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัด แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ลดระยะเวลานอนโรงพยาบาล
เตรียมตัวก่อนผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีอย่างไร
- งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ 6 – 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- หากมีโรคประจำตัวต้องแจ้งแพทย์เพื่อให้แพทย์แนะนำการงดหรือรับประทานยาอย่างเหมาะสม และควรนำยาโรคประจำตัวติดตัวมาด้วย
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- กรณีที่ผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 20 ปีต้องมีผู้ปกครองมาด้วย
ดูแลหลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีอย่างไร
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ในช่วงพักฟื้นที่โรงพยาบาลควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และสังเกตความผิดปกติหลังผ่าตัด หากมีอาการปวด บวม แดงบริเวณแผล หรือมีอาการปวดท้องมาก มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลืองให้แจ้งแพทย์ทันที และเมื่อกลับบ้านควรลุกเดินต่อเนื่อง รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ไม่เบ่งขณะขับถ่าย ห้ามยกของหนักหรือออกกำลังกาย 6 สัปดาห์หลังผ่าตัด และมาพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีอย่างไร
- เลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน อาหารแปรรูป อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารปิ้งย่าง แอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกินเกณฑ์ แต่อย่าลดน้ำหนักเร็วเกินไป ควรคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกาย
- ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไขมันอย่างคอเลสเตอรอลเป็นประจำ
- ระวังไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน
- หากต้องทานยาคุมกำเนิด ยาลดคอเลสเตอรอล ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีและอัลตราซาวนด์ช่องท้องตามคำแนะนำของแพทย์
- หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นถุงน้ำดีเน่า ถุงน้ำดีแตกจนติดเชื้อในกระแสเลือด หรือมะเร็งถุงน้ำดีในอนาคต
คำถามที่พบบ่อย
ตรวจพบนิ่วในถุงน้ำดีแต่ไม่มีอาการจำเป็นต้องรักษาไหม
นิ่วในถุงน้ำดีไม่จำเป็นต้องรักษาเสมอไป หากตรวจพบแล้วไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ไม่จำเป็นต้องรักษาหรือติดตาม เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสมีอาการเพียง 1% – 2% ต่อปี นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำให้ทำการรักษาในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการบางรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งถุงน้ำดี เช่น พบนิ่วขนาดใหญ่ พบนิ่วร่วมกับติ่งเนื้อในถุงน้ำดี เป็นต้น
อาการของนิ่วในถุงน้ำดีดีขึ้นแล้วยังต้องรักษาไหม
ผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี แม้ว่าอาการจะดีขึ้นเอง แต่มีโอกาสเป็นซ้ำได้บ่อยถึง 15% – 20% แพทย์จึงมักแนะนำให้รักษาในผู้ป่วยที่มีอาการแล้วทุกราย
นิ่วในถุงน้ำดีหายเองได้ไหม
นิ่วในถุงน้ำดีไม่สามารถหายได้เอง ความเชื่อที่ว่านิ่วจะสลายไปเองหรือหลุดเองได้นั้นไม่จริง ยิ่งปล่อยไว้นานไม่รีบรักษา นอกจากความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา รวมถึงการกินยาสลายนิ่วหรือคลื่นเสียงสลายนิ่วก็ไม่สามารถรักษานิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะเป็นการรักษานิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีสาเหตุและการรักษาแตกต่างกับนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งผู้ป่วยมักสับสนและมีความเข้าใจผิดระหว่างสองภาวะนี้ สำหรับนิ่วในถุงน้ำดีมีวิธีการรักษาคือการผ่าตัดเพื่อให้หายขาดจากโรค
กินยาสลายนิ่วในถุงน้ำดีได้ไหม
การรักษานิ่วในถุงน้ำดีโดยการรับประทานยาและไม่ผ่าตัดยังไม่เป็นที่แนะนำในปัจจุบัน เนื่องจากได้ผลไม่ดีเมื่อเทียบกับการผ่าตัด ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งที่รับประทานยาพบว่านิ่วไม่หายไป และเกือบ 80% ของผู้ป่วยที่ไม่ผ่าตัดมักมีอาการจนต้องเข้ารับการผ่าตัดภายใน 2 ปี
ทำไมนิ่วถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิงวัย 40+
ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ดังนั้นหากมีไขมันในเลือดสูง ทานยาคุมกำเนิด ทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน มีบุตรหลายคน เป็นโรคเบาหวานหรือโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งอาการนิ่วในถุงน้ำดีในผู้หญิงมักมีอาการปวดท้องจุกแน่นนานหลายชั่วโมงแล้วไม่หาย
ผู้สูงอายุมากกว่า 60 กลุ่มไหนเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
ผู้สูงวัยที่มีคอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต โรคธาลัสซีเมีย หากมีอาการปวดท้องเป็นพัก ๆ แล้วไม่หาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็ก หากพบว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเพื่อให้หายขาด เว้นแต่ในกรณีที่ร่างกายผู้ป่วยไม่พร้อมอาจต้องเริ่มจากการรักษาตามอาการ จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีการย่อยอาหารจะเป็นปกติหรือไม่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักกังวลเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ซึ่งไม่ต้องกังวลเพราะถุงน้ำดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ำดี ไม่ได้เป็นที่ผลิตน้ำดีแต่อย่างใด หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีน้ำดีที่ผลิตจากตับเพื่อช่วยย่อยอาหารตามปกติ
โรงพยาบาลที่ชำนาญการรักษานิ่วในถุงน้ำดี
ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมให้การดูแลรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์และทีมสหสาขาที่พร้อมดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผ่าตัดรักษานิ่วในถุงน้ำดี เพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจในทุกการผ่าตัด และกลับไปใช้ชีวิตอย่างมั่นใจในทุกวัน
แพทย์ที่ชำนาญการรักษานิ่วในถุงน้ำดี
ผศ.นพ.สุปรีชา อัสวกาญจน์ ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดช่องท้อง โรคตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ








