แสงสีฟ้า ตัวการร้ายทำลายสายตา

5 นาทีในการอ่าน
แสงสีฟ้า ตัวการร้ายทำลายสายตา

แชร์

ในโลกยุคดิจิทัลแต่ละวันเราอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบจะเกินครึ่งหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ดวงตาต้องอยู่กับแสงสีฟ้าจากหน้าจอของอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานติดต่อกัน ทำให้ได้รับผลกระทบมากกว่าที่คิด

ผลกระทบจากแสงสีฟ้า

  1. ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain)
    ได้แก่
    • ปวดตา
    • ตาแห้ง
    • ตาพร่า
    • น้ำตาไหล
  2. โรคจอประสาทตาเสื่อม (Age – Related Macular Degeneration : AMD)
    มีงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า ถ้าเผชิญหน้ากับแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน อาจทำให้เซลล์ในดวงตาตาย เนื่องจากคลื่นแสงพลังงานสูงเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในเซลล์ของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ค่อย ๆ เสื่อมลงส่งผลให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย

    นอกจากแสงสีฟ้าที่ทำให้สายตาเกิดความผิดปกติ ยังมีปัจจัยมากมายที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค ได้แก่
    • อายุมากขึ้น ความเสื่อมเพิ่มขึ้น
    • สูบบุหรี่
    • ม่านตาอ่อน (Light Iris Coloration)
    • แสงแดด
    • ทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
    • กรรมพันธุ์

เพราะฉะนั้นการดูแลดวงตาตั้งแต่วันนี้คือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสื่อมและความผิดปกติก่อนเวลาอันควร      


ดูแลดวงตาก่อนเสื่อม

การดูแลดวงตาจากแสงสีฟ้ามีหลายวิธี  ได้แก่

  • ลดความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์
  • ติดฟิล์มลดแสง
  • พักสายตาทุก 20 นาที มองไกลออกไป 20 เมตร นาน 20 วินาที
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
  • ทานผักผลไม้สีเหลืองส้มบำรุงสายตา
  • เสริมด้วยวิตามินช่วยดูแลดวงตา

 

img


สารอาหารบำรุงสายตา

สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา ประกอบไปด้วย

  • สารในตระกูลแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งในธรรมชาติมีมากถึง 600 ชนิด แต่มีเพียง 2 ชนิด คือ ลูทีน (Lutein)  และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่พบในบริเวณเนื้อเยื่อตา และพบมากที่สุดบริเวณจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา เป็นสาร Antioxidant ที่ช่วยเรื่องการบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอตาเสื่อม ทั้งยังช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระและกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
  • สารไลโคปีน (Lycopene) จากผิวมะเขือเทศ เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีบทบาทสำคัญในการบำรุงร่างกาย ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคต้อกระจก ป้องกันเยื่อบุตาอักเสบ ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา และช่วยบำรุงสายตา ทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดี
  • สารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) จากบิลเบอร์รี (Bilberry) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาอย่างมาก ช่วยป้องกันต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และโรคทางตาอื่นๆ จึงมักพบเห็นบิลเบอร์รีในอาหารเสริมช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และต่อต้านการอักเสบ
  • สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) พบในผลไม้ตระกูลเบอร์รีรวม (Mixed Berry Blend) ประกอบด้วย บิวเบอร์รี (Bilberry) ช่วยบำรุงสายตา ขจัดสารพิษตกค้างบริเวณหลอดเลือดและระบบเลือด เสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน แครนเบอร์รี (Cranberry) ช่วยยับยั้งการจับตัวของแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคปัสสาวะอักเสบ บลูเบอร์รี (Blueberry) มีวิตามิน C และ วิตามิน E สูง ช่วยต้านอนุมุลอิสระ ชะลอความแก่ ราสเบอร์รี (Raspberry) ลดโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังและมะเร็งเต้านม ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดผิวหมองคล้ำเสีย ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยให้ผิวสดใส เปล่งปลั่งและสมานผิว ช่วยในการหมุนเวียนโลหิต ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างปกติ และมีประสิทธิภาพ และโกจิเบอร์รี (Goji Berry) หรือเก๋ากี้ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสริมการทำงานของแอนติบอดี้ ช่วยต้านการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง บำรุงผิวพรรณ ชะลอความชรา ลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • สารเบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ป้องกันผิวจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด ผิวพรรณสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย ดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจกตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี
  • วิตามินเอ (Vitamin A Acetate) วิตามินสำหรับดวงตา มีประโยชน์ต่อสมรรถภาพในการมองเห็น ช่วยให้มองเห็นในที่ที่มีแสงสว่างน้อย และมองเห็นสีสันต่าง ๆ เป็นปกติ นอกจากนี้ยังควบคุมการผลิตและการทำงานของเซลล์ผิวหนังและเซลล์เยื่อบุทั่วร่างกายให้เป็นปกติ
  • วิตามินอี (Vitamin E DL – Alpha – Tocopheryl Acetate) สารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ดี ป้องกันการทำลายเซลล์หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว, โรคหัวใจ, ภาวะความดันโลหิตสูง, ภาวะปวดอักเสบข้อ, ความแก่ หรือภาวะมะเร็งตามมาได้ในระยะยาว
  • วิตามินบี (Vitamin B Complex) เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยในการผลิตกรดอะมิโน เสริมสร้างร่างกายที่สึกหรอ ช่วยรักษาสมดุลของระบบต่าง ๆ Vitamin B1 ช่วยลดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า Vitamin B2 ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรตและไขมัน Vitamin B3 ทำให้ร่างกายสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว Vitamin B5 ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บำรุงผิวหนังและระบบประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น Vitamin B6 จำเป็นในขบวนการสร้างฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆ ในร่างกาย ลดอาการสมองเสื่อมและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย Vitamin B12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการเจริญเติบโตในเด็กและระบบการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ให้เกิดเป็นพลังงาน
  • สารสกลัดจากเปลือกสน (Pine Bark Extract) เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยชะลอความแก่และช่วยลดความหยาบกร้านของเซลล์ผิวทำให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่งและช่วยเร่งการขจัดเม็ดสีที่ตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุของกระและฝ้า ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำให้กระและฝ้า ดูจางลง
  • สารสกัดจากมะขามป้อม (Emblica Extract) บำรุงอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย คือ ผม สมอง ดวงตา คอ หลอดลม ปอด หัวใจ กระเพาะ ลำไส้ ตับ ไต ตับอ่อน ผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย ปรับประจำเดือนให้มาปกติ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ช่วยลดความดันเลือดสูง ในแง่ของการบำรุงสายตา ในมะขามป้อมเต็มไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยบำรุงเส้นเลือดฝอยและรักษาทำงานของเซลล์จอประสาทตา ช่วยลดอาการคันและอาการตาแห้งได้
  • สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นของอิลาสติน เพิ่มการสร้างเส้นใยผิวหนัง เส้นเอ็นปลายกล้ามเนื้อ และเอ็นยึดข้อต่อตลอดจนกระดูกอ่อน เพิ่มการไหลเวียนโลหิตผ่านระบบหลอดเลือดฝอยไปทั่วร่างกาย ป้องกันเส้นเลือดฝอยแตก อันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ช่วยต่อต้านการสร้างอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด

 

เพราะปัจจุบันยากที่จะหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้า ดังนั้นควรใส่ใจดูแลดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา รวมถึงการทานอาหารเสริมบำรุงสายตาที่ปรุงและวิจัยโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการมาตรฐานโรงพยาบาลนับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของลูทีน ซีแซนทีน บิลเบอร์รี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน ฟลาโวนอยด์ มะขามป้อม เปลือกสน เมล็ดองุ่น อีกทั้งวิตามินเอ อี และบี ประกอบกับมีผลการวิจัยและมาตรฐานรับรองว่ามีส่วนช่วยในการบำรุงดวงตา สายตา จอประสาทตา ย่อมช่วยดูแลดวงตาให้แข็งแรงท่ามกลางโลกยุคดิจิทัล ยืดอายุดวงตาให้เสื่อมช้าลง 

แชร์