1. การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพเฉพาะ (Targeted Health Risk Assessment)
Targeted HRA เป็นการประมาณระดับความเสี่ยงหรือโอกาสที่ผู้ปฏิบัติงานจะเกิดผลกระทบด้านสุขภาพจากการได้รับสารเคมีหรือสัมผัสปัจจัยทางกายภาพ (ความร้อน แสง เสียง) โดยพิจารณาจากระดับการสัมผัสและความรุนแรงของผลกระทบของปัจจัยอันตรายเฉพาะชนิด โดยทั่วไปดำเนินการเพื่อยืนยันผลการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น เมื่อความเสี่ยงนั้นอยู่ในระดับที่มีนัยสำคัญ เพื่อประกอบการตัดสินใจดำเนินการจัดการกับความเสี่ยงนั้น
วัตถุประสงค์ของการประเมินความเสี่ยง
- เพื่อทราบระดับความเสี่ยงที่ถูกต้องกว่า
- เพื่อวางแผนและจัดสรรงบประมาณจัดการความเสี่ยง
- เพื่อจัดเก็บและใช้ประโยชน์สำหรับการเฝ้าระวังสุขภาพหรือโรคจากการทำงาน
- เพื่อสื่อสารความเสี่ยงให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบ
- เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
ประโยชน์ที่ได้รับ คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายและปฏิบัติตามกฎหมาย เนื่องจากสามารถวางแผนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และจัดการเรื่องการตรวจสภาพแวดล้อมการทำงาน และการตรวจสุขภาพอาชีวอนามัยตามปัจจัยเสี่ยงได้
ทีมสำรวจและตรวจวัดประกอบด้วย
- นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม
- อาชีวแพทย์
- พยาบาลอาชีวอนามัย
- นักวิทยาศาสตร์
รายงานผลการสำรวจและตรวจวัด ครอบคลุม
- ผลการประเมินการสัมผัส
- ระดับความเสี่ยงด้านสุขภาพเฉพาะ
- แนวทางการจัดการความเสี่ยง
- แผนการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม
- รายการตรวจสุขภาพอาชีวอนามัยตามปัจจัยเสี่ยง
2. การเดินสำรวจสถานประกอบการ (Walkthrough Survey)
เป็นการสำรวจสถานประกอบการเพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน ผู้ปฏิบัติงาน และอันตรายในสิ่งแวดล้อมการทำงาน เพื่อระบุอันตรายต่อสุขภาพในสิ่งแวดล้อมการทำงาน จัดกลุ่มพนักงานที่มีการสัมผัสเหมือนกัน (Similar Exposure Group, SEG) ประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น (Baseline Health Risk Assessment)
วัตถุประสงค์
- เพื่อค้นหาและระบุอันตรายในสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ครอบคลุมทุกกระบวนการผลิต ทุกพื้นที่ และทุกลักษณะงาน
- เพื่อจัด SEG ของผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการบริหารจัดการด้านการตรวจวัดสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต่อไป
- เพื่อประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น (Baseline HRA) ซึ่งจะนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงเฉพาะอันตราย (Targeted HRA) และวางแผนจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรสำรวจเมื่อไร
ควรเดินสำรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต สารเคมี ลักษณะและวิธีการทำงาน รวมถึงมาตรการควบคุมต่าง ๆ เช่น ระบบระบายอากาศ และอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสสารของผู้ปฏิบัติงาน
ทีมเดินสำรวจประกอบด้วย
- อาชีวแพทย์
- นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม
- พยาบาลอาชีวอนามัย
รายงานผลการสำรวจครอบคลุม
- สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งทางเคมี กายภาพ และชีวภาพ
- การจัด SEG
- Baseline HRA
- ข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินการต่อไป
3. การประเมินการสัมผัสทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรม (Industry Hygiene Exposure Assessment)
เป็นการตรวจวัดและการเก็บตัวอย่างในสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อประเมินอันตรายทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ โดยเครื่องมือทางสุขศาสตร์อุสาหกรรม เช่น แบบสำรวจสถานประกอบการ เครื่องมืออ่านค่าโดยตรง ชุดอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอากาศเพื่อวิเคราะห์ความเข้มข้นสารเคมี และจุลชีพที่แขวนลอยในอากาศ และชุดเก็บตัวอย่างจุลชีพบนพื้นผิว เครื่องตรวจวัดความร้อน แสง เสียง โดยเปรียบเทียบผลกับค่า OEL ในระดับประเทศและสากล
วัตถุประสงค์
- เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย
- เพื่อประเมินการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงานสำหรับการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ
- เพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการการควบคุม
- เพื่อตรวจหาแหล่งของอันตราย
- เพื่อการสอบสวนโรคหรือการเจ็บป่วยจากการทำงาน
- เพื่อระบุแหล่งของการสัมผัสที่เกินค่า OEL
อันตรายในสิ่งแวดล้อมการทำงาน
อันตรายในสิ่งแวดล้อมการทำงานที่สามารถประเมินการสัมผัส
- อันตรายทางเคมี – สารเคมีในอากาศ ใช้เครื่องมือมาตรฐานและวิธีที่เป็นสากล เช่น NIOSH Methods, OSHA methods, MDHS ฯลฯ หรือเครื่องมืออ่านค่าโดยตรง ซึ่งได้รับการเปรียบเทียบความถูกต้องสม่ำเสมอ
- อันตรายทางกายภาพ : แสงสว่าง เสียง ความร้อน ด้วยเครื่องมือที่มีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
- อันตรายทางชีวภาพ: เชื้อรา แบคทีเรีย รวมถึง Legionella ฺBacteria ในอากาศ น้ำ และบนพื้นผิว เก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างโดยผู้ที่มีความชำนาญการเฉพาะด้าน
รายงานผลการสำรวจและตรวจวัด
รายงานผลการสำรวจและตรวจวัดที่ครอบคลุม
- ผลการตรวจวัดและวิเคราะห์
- การแปลผลโดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานตามกฎหมายและมาตรฐานเสนอแนะที่เหมาะสม
- สรุปผลและข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการต่อ เช่น มาตรการควบคุม แผนการประเมินซ้ำ ฯลฯ
4. คุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality, IAQ)
คุณภาพอากาศภายในอาคาร หมายถึง คุณภาพอากาศภายในและรอบ ๆ อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะที่สัมพันธ์กับสุขภาพและความสบายของผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น
ทั้งมลพิษอากาศภายในอาคาร สารเคมีในรูปอนุภาค ก๊าซ และไอระเหย เช่น ฝุ่นจากการจราจร ฟอร์มัลดีไฮด์ สารระเหยอินทรีย์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ฯลฯ ก่อให้เกิด
- การระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ
- เนื้อเยื่อโพรงจมูก เยื่อบุทางเดินหายใจ และปอดอักเสบ ทำให้ปอดรับก๊าซออกซิเจนได้น้อยลง
- อาการหอบหืด ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรังหรือหอบหืดอาจมีอาการรุนแรงขึ้น ในระยะยาวอาจทำให้หลอดลมอักเสบเรื้อรังได้
- มะเร็ง
แหล่งมลพิษภายในอาคาร
- ภายในอาคาร ได้แก่ วัสดุตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ วัสดุปูพื้น ผนัง อุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร สำหรับอาคารใหม่อาจรวมถึงวัสดุตกแต่งและสีทาภายใน
- ภายนอกอาคาร ได้แก่ การจราจร การก่อสร้าง อุตสาหกรรม
***ระบบทำความเย็นและระบายอากาศที่ทำงานไม่เหมาะสม อาจก่อทั้งมลพิษในอาคารและนำมลพิษจากภายนอกเข้าอาคารได้
ประโยชน์ของการมี IAQ ที่ดี คือ เพิ่มผลิตภาพของงาน จากพนักงานที่มีปัญหาสุขภาพเนื่องจากปัญหา IAQ และที่มีขวัญกำลังใจในการทำงานจากความใส่ใจของผู้บริหาร
การตรวจวัดคุณภาพอากาศ
- ควรตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคารทุก 1 ปี
- ควรตรวจเมื่อมีการปรับปรุงหรือซ่อมแซมอาคาร
- ควรตรวจเมื่อมีข้อร้องเรียนของพนักงานเกี่ยวกับ IAQ
***ใช้เวลาในการตรวจวัด 1 – 3 วัน ขึ้นกับขนาดพื้นที่ ระบบทำความเย็น ระบบระบายอากาศ และจำนวนจุดตรวจวัด
มาตรฐาน IAQ ที่ใช้
- American Society of Heating, Refrigerating and Air – Conditioning Engineers (ASHRAE) Standard 62.1 – 2016 สำหรับอาคารสำนักงาน
- ASHRAE HVAC Design Manual for Hospitals and Clinics สำหรับโรงพยาบาล
สำรวจและตรวจวัด
ทีมสำรวจและตรวจวัด ประกอบด้วย
- นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม
- อาชีวแพทย์
- นักวิทยาศาสตร์
รายงานผลการสำรวจและตรวจวัด
รายงานผลการสำรวจและตรวจวัด ครอบคลุม
- ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร ครอบคลุมด้านเคมี ชีวภาพ อัตราการระบายอากาศ และดัชนีความสบาย
- ระบุแหล่งและสาเหตุของ IAQ
- แนวทางการป้องกันและควบคุมปัญหา IAQ