หน่วยการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (GI Motility Unit) เป็นคลินิกเฉพาะทางเพื่อให้บริการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ โดยมีมาตรฐานการให้การดูแลรักษาในระดับสากล รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการตรวจที่ทันสมัย สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบทางเดินอาหาร ดังนี้
1) ผู้ป่วยที่มีปัญหาการกลืน
- การตรวจวัดการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและการบีบรัดตัวของหูรูดหลอดอาหารชนิดความละเอียดสูง (High Resolution Esophageal Manometry) เป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดสูง ใช้ตรวจการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและการบีบรัดตัวของหูรูดหลอดอาหาร เพื่อใช้ดูการประสานงานกันของกล้ามเนื้อที่ใช้ในระหว่างการกลืน การบีบตัวแบบส่งผ่านของกล้ามเนื้อเรียบในหลอดอาหารและการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหาร เพื่อนำไปสู่การหาสาเหตุของการกลืนที่ผิดปกติในผู้ป่วย
- การตรวจวัดการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและตรวจวัดการผ่านของอาหารจากหลอดอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร (High Resolution Esophageal Manometry with Impedance) เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและการบีบรัดตัวของหูรูดหลอดอาหารชนิดความละเอียดสูง เพิ่มความสามารถในการบ่งบอกการเคลื่อนที่ของของเหลว ลม หรืออาหารในหลอดอาหาร สามารถใช้บอกและแยกชนิดของอาหารที่ตกค้างอยู่ในหลอดอาหารภายหลังการกลืน รวมไปถึงทิศทางของการกลืนได้ โดยจะได้ประโยชน์ในเรื่องของการวินิจฉัยปัญหาการกลืนบางชนิดได้ละเอียดขึ้น
2) ผู้ป่วยกรดไหลย้อน
- การตรวจวัดค่าความเป็นกรด – ด่างในหลอดอาหาร (pH Monitoring) เป็นการตรวจบันทึกค่ากรดหรือด่างในหลอดอาหาร เพื่อวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของภาวะกรดไหลย้อนในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะกรดไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร แต่อาการไม่แน่ชัด หรือผู้ป่วยที่มีกรดไหลย้อนอยู่เดิมที่ได้รับการรักษาแล้วไม่ดีขึ้น รวมไปถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแล้วไม่สามารถหยุดยาลดกรดได้ ซึ่งมีทั้งแบบติดแคปซูลชนิดไร้สายและแบบมีสายต่อกับเครื่องบันทึกจากเทคโนโลยีการตรวจเพิ่มเติมนี้ ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยที่มาด้วยอาการลักษณะของกรดไหลย้อนได้ดียิ่งขึ้น
3) ผู้ป่วยที่มีอาการปวดแน่นท้องหลังไม่ทราบสาเหตุ
- การทดสอบไฮโดรเจนทางลมหายใจ (HBT: Hydrogen Breath Test) เป็นการทดสอบที่ง่ายและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดแน่นท้องหลังอาหารไม่ทราบสาเหตุ เพื่อวินิจฉัยการย่อยที่ผิดปกติของน้ำตาล หรือคาร์โบไฮเดรตบางกลุ่ม ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กมีความผิดปกติไป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือ ชนิด และการย่อยน้ำตาลบางชนิดไม่ได้ เช่น น้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลแลคโตส และน้ำตาลกลูโคส จากผลการตรวจช่วยทำให้ผู้ป่วยปรับการรับประทานอาหารเพื่อลดอาการท้องอืดแน่นท้องได้ดีมากขึ้น
4) ผู้ป่วยท้องผูก
- การตรวจวัดความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก แรงเบ่งจากลำไส้ตรง และการวัดรับรู้และการตอบสนองต่ออุจจาระที่มาอยู่บริเวณลำไส้ตรง (High – Resolution Anorectal Manometry) เป็นการตรวจวัดความสัมพันธ์ระหว่างการทำงาน 3 อย่างในระหว่างการขับถ่ายที่สามารถส่งผลให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังได้ โดยจะประเมิน
- > การรับรู้ความรู้สึกของลำไส้ตรงต่ออุจจาระเคลื่อนมาอยู่ที่อยู่ในลำไส้ตรงโดยอาศัยบอลลูน
- > การทำงานของกล้ามเนื้อในเชิงกรานที่มีผลต่อการเบ่งและแรงเบ่งถ่าย
- > การคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก
ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นอย่างปกติและต่อเนื่องสอดคล้องกันก็จะก่อให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังนอกจากนั้นยังสามารถวินิจฉัยในผู้ที่ไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ (Fecal Incontinence) ผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้ใหญ่โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschprungs’ Disease) และรวมถึงสามารถตรวจเพื่อประเมินการทำงานของแรงดันบริเวณลำไส้ตรงและกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนักก่อนทำผ่าตัด
- การตรวจวัดความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก แรงเบ่งจากลำไส้ตรงและการวัดรับรู้และการตอบสนองต่ออุจจาระที่มาอยู่บริเวณลำไส้ตรงแบบ 3 มิติ (3D High – Definition Anorectal Manometry) เป็นการตรวจวัดความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก กล้ามเนื้อมัดที่ช่วยในการขับถ่ายและแรงเบ่งจากลำไส้ตรง รวมถึงวัดการรับรู้และการตอบสนองต่ออุจจาระ และสามารถแสดงเป็นโครงภาพ 3 มิติ ซึ่งทำให้สามารถเห็นความผิดปกติของกล้างเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก หรือการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับถ่ายในเชิงกรานได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำไห้ได้ประโยชน์มากขึ้นในผู้ป่วยที่มีการกลั้นอุจจาระได้ไม่ดี หรือการวางแผนผ่าตัดในผู้ป่วยบางรายที่การผ่าตัดนั้น ๆ อาจมีผลต่อกล้ามเนื้อหูรูดได้ด้วย
- การฝึกการขับถ่ายในผู้ป่วยที่มีการขับถ่ายผิดปกติโดยใช้เครื่องวัดแรงดันกล้ามเนื้อและหูรูดทวารหนัก (Anorectal Biofeedback Training) เป็นการใช้เครื่องวัดแรงดันกล้ามเนื้อและหูรูดทวารหนักแสดงภาพกราฟและแรงดันออกทางหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยอาศัยการใส่สายเข้าทางทวารหนักในลักษณะเดียวกันกับการตรวจ เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกการขับถ่าย ซึ่งการฝึกด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบการขับถ่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้ รวมไปถึงการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนักในผู้ป่วยที่กลั้นอุจจาระได้ไม่ดี